ต่อจากตอนที่ 7 หลังจากเดินทางจากหนองคาย เวียงจันทน์ ก็มาหยุดอยู่ที่หลวงพระบางเพื่อชมประเพณีสงกรานต์ รุ่งอรุณ แดดอ่อน ๆ ระยับผิวน้ำโขง วันนี้จะมีพิธีแห่นางสังขาน เมืองหลวงพระบางจึงคับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวข้าพเจ้าตื่นแต่ 6 โมงเช้า เพื่อไปรอใส่บาตร นักท่องเที่ยวที่มาหลวงพระบางประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์จะไม่พลาดกิจกรรมยามเช้านี้ เพราะถ้าพลาดก็เปรียบได้ว่าไม่ได้สัมผัสวิถีของหลวงพระบางที่ยึดปฏิบัติกันมาหลายร้อยปี การใส่บาตร ข้าวเหนียวของชาวหลวงพระบางนั้นจะปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนใส่บาตรพระภิกษุ สามเณรที่เดินมาบิณฑบาต ดูเหมือนว่าจะเดินเร็วมาก เนื่องจากหลวงพระบางเป็นเมืองศูนย์กลางของพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง จึงมีพระและสามเณรเป็นจำนวนมากเดินบิณฑบาตเป็นแถวยาวดูสวยงามตามวัฒนธรรม บรรดานักท่องเที่ยวและช่างภาพทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึก ข้าพเจ้าซื้อข้าวเหนียว 1 กระติ๊บจากแม่ค้าซึ่งเป็นคนเดียวกันกับแม่ค้าแหนมเหลืองโดยจะออกมาตั้งโต๊ะขายข้าวเหนียวฝั่งตรงข้ามวัดมหาธาตุข้าวเหนียวนั้นจะใส่อยู่ในกระติ๊บอยู่แล้วพอไปถึงก็ยื่นเงินหิ้วกระติ๊บเดินมานั่งรอพระ ส่วนแม่ค้าที่หาบข้าวเหนียวใส่กระติ๊บมาขายนั้นราคาจะแพงกว่า พอใส่บาตรเสร็จก็นำกระตี๊บไปคืนที่ร้าน เป็นอันเสร็จการใส่บาตรข้าวเหนียว ส่วนกับข้าวนั้นจะมีชาวบ้านนำไป ถวายที่วัด ซึ่งจะเรียกว่า “การถวายจังหัน” หลังจากใส่บาตรแล้วชาวลาว จะนิยมกรวดน้ำในทันทีเพราะเชื่อว่าหลังจากใส่บาตรเสร็จจิตใจจะสงบ ผ่องใส ปลอดโปร่ง จึงเหมาะที่จะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว และอานิสงฆ์บุญก็จะมากกว่า ชาวลาวเรียก “ใส่บาตรข้าวเหนียว” เพราะไม่ได้มีการใช้ทัพพี ตักข้าวใส่บาตร ส่วนไทยเรียก “ตักบาตร” เพราะใช้ทัพพีตักข้าวใส่บาตรพระ หลังเวลากาแฟแล้วคุณเจี๊ยบติดใจในรสชาติแหนมเหลืองจึงชวนข้าพเจ้ามาลิ้มลองแต่น่าเสียดายที่ทางร้านยังจัดร้านไม่เรียบร้อย ที่สำคัญข้าพเจ้าเห็นทางร้านกำลังผ่าฟืน ซึ่งแสดงว่ายังไม่ได้ก่อไฟ ตามที่ได้อธิบายไปแล้วว่าชาวหลวงพระบางจะนิยมหุงต้มด้วยเตาฟืน การรองท้องก่อนเดินทางไปบ้านผานมในวันนี้จึงเป็น Fast Food แบบหลวงพระบาง คือ ข้าวจี่ใส่กุนเซียง เหตุที่ต้องรองทองนั้นเพราะว่าการเดินทางในวันนี้ ต้องเช่าจักรยานปั่นไปบ้านผานมที่มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งต้องขึ้นและลงเขาบนถนนฝุ่นลูกรังสีแดง เมื่อเดินทางมาถึงโรงเรียนบ้านผานมก็จอดรถจักรยานล็อคล้อแล้วเข้าร่วมงาน เหตุที่ต้องปั่นจักรยานไปนั้น เพราะที่บ้านผานมไม่มีรถตุ๊กตุ๊กเกรงว่าขากลับจะไม่สะดวก และถ้านัดคนขับรถในเมืองไปรับก็ไม่รู้กำหนดเวลาที่แน่นอน หรืออาจจะแวะจอดจักรยานถ่ายรูปทิวทัศน์ ชมนกชมไม้ไปเรื่อย ๆ โรงเรียนบ้านผานมเป็นอาคารเล็ก ๆ มีสนามหญ้าเล็ก ๆ กลางลานจัดต้นบายสี มีวงดนตรีพื้นบ้าน บรรเลงเพลง สาธิตการทอผ้า รอบสนามมีการออกร้านขายผ้า และสินค้าพื้นเมือง พี่วอนกวักมือเรียกข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบไปที่ร้าน การแต่งกาย ของพี่วอน พี่ขาว หรือคนอื่น ๆ ที่ไปตบทาดด้วยกันต่างจากเมื่อวานนี้สิ้นเชิง จากหลังมือเป็นหน้ามือ คือ ทุกคนนุ่งซิ่นซึ่งดูสวยงามมาก พี่ขาวยื่นขนมต้ม ให้ข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบลิ้มลอง หลังจากชิมแล้วข้าพเจ้าชมว่าอร่อย และถามหาว่ามีอีกหรือเปล่า พี่ขาวบอกว่าเป็น 2 ชิ้นสุดท้ายที่เก็บไว้ให้ข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบชิม เพราะทำมาน้อยโดยแต่ละบ้านจะทำมารวมกันและแจกให้แก่ผู้ที่เข้ามาในงานวันนี้ 2 ชิ้นนี้เป็นของบ้านพี่วอน ส่วนในจานอื่นๆ ที่ยังมีอยู่นั้นเป็นของบ้านอื่น ซึ่งพี่วอนบอกว่าอร่อยไม่เท่า 2 ชิ้นที่ได้ชิมไป พูดไปพลางยิ้มชอบใจด้วยความสนิทพอประมาณ หลังจากทำพิธีบายสี ผูกข้อต่อแขนกันแล้วก็เป็นการแสดง ของเยาวชนในหมู่บ้านผานม ต่อด้วยการเดินแฟชั่นโชว์ โดยเครื่องแต่งกายที่ออกแบบลวดลายทอและตัดเย็บ โดยชาวบ้านผานมเอง หลังจากนั้นก็เป็นการรำวงแบบชาวลาว ข้าพเจ้าสังเกตพี่วอนกำลังเปิดหนังสือเพลง ท่องเนื้อเพลงลาวอย่างเอาจริงเอาจังอยู่ สอบถามได้ความว่า ในช่วงบ่ายจะมีการฉลองและพี่วอนซึ่งเป็นนักร้องเสียงนกการเวกแห่งบ้านผานมจะต้องร้องเพลงในบ่ายนี้ เสียดายที่ข้าพเจ้าต้องกลับมาชมขบวนแห่นางสังขาน เลยพลาดร่วมฉลองกับชาวบ้านผานม พี่ขาวพาเดินชมหมู่บ้านและแวะกินเฝอที่ร้านค้าเล็กๆ ในหมู่บ้าน น้ำซุปที่นี่รสเด็ดมากหอมกลิ่นกระเทียมมากเป็นพิเศษเวลากินชาวบ้านผานมจะใส่ข้าวพองโรยหน้าประหนึ่งแคบหมูกรุบกรอบ (ข้าวเหนียวตากแดดจนแห้งแล้วนำไปทอดน้ำมัน จนพอง) หลังจากนั้นจึงร่ำรากันเมื่อเวลาใกล้เที่ยง วันนี้ขบวนสงกรานต์ตั้งที่บริเวณวงเวียนน้ำพุเดินไปตามถนนสีสะหว่างวง จนถึงวัดเซียงทอง ขบวนแห่จะประกอบไปด้วยปู่เยอ ย่าเยอ และสิงห์แก้ว นางสังขาน พระภิกษุ สามเณร ขบวนพานพุ่มดอกไม้โดยมีเด็กหญิง แต่งชุดประจำชาติดูน่ารัก ขบวนโขนจากโรงละคร กลองยาว สองฝากฝั่งถนน จะเต็มไปด้วยชาวลาวและนักท่องเที่ยวนับหมื่นคน มีการสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน เมื่อขบวนแห่ไปถึงวัดเซียงทองนางสังขานจะนำพานเศียรท้าวกบิลพรหม เข้าไปในสิมวัดเซียงทอง และจะเก็บเศียรไว้ในสิมเป็นเวลา 1 คืน ขณะเดียวกันก็จะมีพิธีการเลี้ยงอาหารปู่เยอ ย่าเยอ สิงห์แก้ว ในที่เฉพาะด้านหลังของวัด มีการสรงน้ำพระสงฆ์ผ่านรางรดน้ำ ที่วัดเซียงทองนี้ข้าพเจ้ากับคุณเจี๊ยบก็พบกับเจ้าหน้าที่ถ่ายทำสารคดีจากเมืองไทยที่เคยเจอกันในตลาดเช้าเมื่อหลายวันก่อนจึงไปสนทนาแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์กันที่ร้านแคมของ (ริมโขง) และได้รู้จักกับคุณวิไลวันเจ้าของร้านที่อาสาทำหน้าที่ไกด์ให้กับข้าพเจ้าในวันต่อ ๆ ไป และตอนต่อ ๆ ไป อรุณเปิกฟ้าต้อนรับเทศกาลปีใหม่ ท่ามกลางความเงียบสงบ หมอกสลัวกำลังจาง ข้าพเจ้าลุกล้างหน้าสีฟัน ออกจากเรือนพัก มุ่งหน้าสู่ถนนบริเวณหน้าวัดมหาทาด เช้าวันนี้ดูชาวหลวงพระบางคึกคัก เป็นพิเศษ หนุ่มสาวชาวลาวต่างแต่งกายตามขนบในการใส่บาตร ผู้เฒ่า ผู้แก่นั่งบนเสื่อบนฟุตบาทริมถนนหน้าวัด นักท่องเที่ยวชาวไทยและนักท่องเที่ยวอีกไม่น้อยต่างยืนและนั่งรอใส่บาตรพระภิกษุ สามเณร จำนวนหลายสิบรูป ทั้งนี้ไม่รวมช่างภาพมืออาชีพและมือสมัครเล่นอีกหลายสิบคน ข้าพเจ้าเดินตรงไปที่ร้านขายข้าวเหนียวสำหรับใส่บาตรเจ้าประจำของข้าพเจ้า แม่ค้าเห็นหน้าก็ยิ้มทัก “สบายดีเจ้า” พร้อมส่งกระติ๊บที่บรรจุข้าวเหนียวร้อน ๆ ให้โดยข้าพเจ้าไม่ต้องสอบถามราคาให้วุ่นวาย วันนี้เป็นวันพิเศษข้าพเจ้าจึงขอซื้อ 2 กระติ๊บโดยใส่บาตรตอนเช้านี้ 1 กระติ๊บและอีกกระติ๊บจะนำไปใส่บาตรข้าวเหนียวที่พูสี ประเพณีใส่บาตรพูสีจะทำกันในวันที่ 2 ของเทศกาลขึ้นปีใหม่ของชาวหลวงพระบาง แดดอ่อนสะท้อนหอพระบางอร่าม นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาหลวงพระบางจะพึงท่องให้ขึ้นใจว่าจะต้องเตรียมฟิล์มถ่ายรูปมามาก ๆ หรือเมมโมรีการ์ดที่มีหน่วยความจุเยอะ ๆ เพราะที่หลวงพระบาง เวลาเดินไปไหนก็มักจะเห็นสิ่งที่สวยงามหรือประทับใจให้ถ่ายภาพเก็บไว้เสมอ ในตอนเช้าเช่นนี้ประชาชนยังไม่มากการเดินขึ้นพูสีเป็นไปด้วยความร่มรื่น มีชาวบ้านนำบายสีทีตกแต่งด้วยดอกจำปามาขาย ดูแล้วสวยงามตามแบบวัฒนธรรม ไร้มายา ชาวลาวจะวางข้าวเหนียวก้อนเล็ก ๆ หรือขนมต้มไว้ตามริมขั้นบันได เพื่อให้ทานแก่นกหรือสัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นๆ เมื่อถึงยอดพระธาตุพูสีก็จะปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนหรือ ขนมต้ม โยนขึ้นไปบนยอดพระธาตุ หลังจากนั้นก็จะเข้าไปไหว้พระขอพรในโบสถ์ หนุ่มสาวชาวลาวก็ถือโอกาสนี้ทำบุญร่วมกันและบ้างก็อิ่มบุญไปกับการโยนข้าวเหนียว โดยความเชื่อชาวบ้านว่าให้ตั้งจิตอธิษฐานแล้ว โยนข้าวเหนียวให้เข้าไปในฐานของพระธาตุถ้าผู้ใดโยนถึงพรที่ขอนั้นก็จะสมหวัง การโยนข้าวเหนียวจึงดูเป็นที่สนุกสนานของวัยหนุ่มสาวมากกว่า แท้จริงน่าจะเป็นกุศโลบายที่ว่า นกกาจะได้มากินได้สะดวกมากกว่า หรือถ้าโยนไม่ถึงก็จะหกเลอะเทอะพื้นทำความสกปรกให้กับสถานที่ และยิ่งเป็นข้าวเหนียวเมื่อแห้งติดพื้นแล้วจะทำความสะอาดได้ยาก วันนี้ในตอนบ่ายจะมีขบวนแห่นางสังขานกลับจากวัดเซียงทองมายังวัดมหาทาด โดยกลับเส้นทางเดิมเมื่อมาถึงวัดก็จะมีพิธีสมโภชน์ และสรงน้ำพระสงฆ์ รางรดน้ำก็จะนำมาตั้งให้ประชาชนมาสรงน้ำพระ เฉกเช่นเดียวกับที่วัดเซียงทอง พิธีสรงน้ำหรือรดน้ำพระสงฆ์นั้นจะกระทำกันทุกวัดแล้วแต่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปหรือพระสงฆ์ตามสะดวกของวัด นอกจากนี้ ปู่เยอย่าเยอและสิงห์แก้วก็จะมาไหว้พระธาตุที่วัดมหาทาดด้วย ประชาชนชาวลาวและนักท่องเที่ยวจะมารวมตัวกันอย่างเนื่องแน่นจนเต็มลานวัด เสียงกลอง ฉาบ จะดังประโคม ทั้งการร่ายรำ ร้องขับท่วงทำนอง หลวงพระบางอย่างมีความลงตัว ทุกคนจะมีแต่รอยยิ้มท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ แต่ทุกคนหาได้ย่นย่อท้อยังเบียดเสียดเข้าร่วมพิธีด้วยศรัทธา และความใคร่เห็นของนักท่องเที่ยว วันนี้ยังเป็นอีกวันที่หลวงพระบางยังคึกคักตื่นจากหลับใหลด้วยจารีตที่ยึดปฏิบัติสืบทอดกันมา วันนี้ข้าพเจ้าเดินไปที่ไหน ๆ ก็จะเห็นรอยยิ้ม และไมตรีจากชาวหลวงพระบาง บ้างชวนดื่ม บ้างทักทาย บ้างสาดน้ำ ตามเทศกาล ใช่แล้วครับหากถึงวันสงกรานต์แล้วท่านผู้ใดเนื้อตัวสะอาด เสื้อผ้าแห้งคงดูแปลก ๆ ด้วยเหตุเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงกลับเรือนพักเก็บกล้องแล้ว ออกมารื่นเริง ร่วมเล่นน้ำวันสงกรานต์ กับชาวหลวงพระบางอย่างเต็มอิ่ม รวมทั้งเจ้าของเรือนพักได้เชิญให้ร่วม เล่นน้ำ กิน และดื่มอย่างเป็นกันเอง ข้าพเจ้าไม่อาจปฏิเสธได้ตามประสาคนชอบเฮฮา ในบรรดาเหล่าผู้เล่นน้ำ นั้นมีเด็กหญิงวัยเพียง 6 ปี ชื่อว่า แสงอาลีเป็นลูกสาวของลูกชาย คุณลุงเจ้าของเรือนพัก เธอช่างสนุก ตามประสาเด็กสาดน้ำผู้ที่ผ่านไปมา แล้วมักวิ่งหนีมาหลบข้างหลังข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้าเปียกมากกว่าหลายๆ คนในบริเวณนั้น ทำให้นึกถึง เด็กน้อยในเมืองใหญ่ จาก ม้าก้านกล้วย ของ ไพวรินทร์ ขาวงาม กวีซีไรต์ที่ว่า “ยิ้มเด็กคือโลกยิ้ม บรรเทาโศกด้วยยิ้มฝัน ฝันเด็กดั่งตะวัน สาดแสงงามยามอรุณ” ขอบคุณที่ติดตาม และพบกับตอนสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์หลวงพระบางใน ลาวในความทรงจำ #9