ถ้ามีคนบอกกับผมตอนฤดูกาล 2020-2021 ว่า ฤดูกาล 2021-2022 ในช่วงท้ายลิเวอร์พูลจะมีลุ้นแชมป์ถึง 4 รายการ ผมก็อาจจะนั่งหัวเราะกับประโยคบอกเล่านี้ หรือก็อาจจะบอกว่าคนนั้นบ้า ฝันไปหรือเปล่า ลิเวอร์พูลเนี่ยนะจะมีลุ้น 4 แชมป์ยันช่วงท้ายฤดูกาล ซึ่งเอาจริงๆ เด็กหงส์ด้วยกันก็ยังจะไม่เชื่อเลย เพราะคิดว่าด้วยขุมกำลังของทีมที่ตัวเองเชียร์ที่มีอยู่ไม่ได้แข็งแกร่งพอไปเบียดลุ้นได้ถึง 4 แชมป์ หรือเรียกง่ายๆ ว่า "ทุกรายการ" ที่ทำการแข่งขันยันช่วงท้ายซีซั่น" 20 " คือ จำนวนคู่เซนเตอร์ทั้งหมดของลิเวอร์พูลที่ใช้งานตลอดฤดูกาล 2020-2021 และมีถึง 4 นัดด้วยกันที่เยอร์เกน คล็อปป์ต้องจัดแผนการเล่นด้วยการนำเอา 2 กองกลางอย่างเฮนเดอร์สัน และฟาบินโญ่มายืนคู่กันในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ค เพราะปัญหาอาการบาดเจ็บที่เล่นงานทีมตลอดทั้งฤดูกาล โดยเฉพาะเซนเตอร์แบ็คตัวหลัก 3 คนที่เหมือนพร้อมใจกันเจ็บ เริ่มจากการที่เวอร์จิล ฟาน ไดจ์คได้รับบาดเจ็บจนปิดเทอมยาวจากการเข้าปะทะของจอร์แดน พิคฟอร์ด ตามมาด้วยคู่หูที่ฤดูกาลก่อนๆ เจ็บบ่อยเหลือเกินอย่างโจเอล มาติป และสุดท้ายโจ โกเมซที่เจ็บจากแคมป์ทีมชาติอังกฤษ ปัญหาอาการบาดเจ็บของกองหลังคู่กลางมันส่งผลต่อทั้งแผนการจัดทีม และลามไปถึงฟอร์มการเล่นของทีมเลยด้วย แต่ช่วงท้ายของฤดูกาลก็คล็อปป์ตัดสินใจใช้บริการของคู่กองหลังดาวรุ่งอย่างแนท ฟิลิปป์ส จับคู่กับรีส วิลเลียมส์ (ยืนโอซาน คาบัคจากชาลเก้ 04 มาด้วย) ซึ่งสุดท้ายทั้งคู่สามารถพาหงส์แดงพุ่งทะยานขึ้นมาจบที่อันดับ 3 ทั้งๆ ที่เกือบจะไม่ได้เล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2021-2022 แล้วด้วยซ้ำก่อนฤดูกาล 2021-2022 เริ่มต้นขึ้น ลิเวอร์พูลก็จัดการคว้าตัว "อิบราฮิมา โกนาเต้" กองหลังดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสมาจากไลป์ซิกเลย เพื่อมาเสริมความแข็งแกร่งในแนวรับ แต่นั่นโกนาเต้ก็คือการเสริมทัพเพียงคนเดียวในตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์ของลิเวอร์พูล ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเสริมแค่นี้มันจะไปพออะไร ไม่เห็นตัวอย่างจากปีที่แล้วหรอ เสริมแค่นี้มันจะไปลุ้นแชมป์ได้ยังไง ติดท็อปโฟร์ก็ดีใจแล้วถ้าเสริมแค่นี้ ไม่ทุ่มกับโค้ชระดับคล็อปป์จะไปทุ่มให้ใครอีก สารพัดคำวิจารณ์รวมไปถึงการทำนายอันดับของเหล่ากูรูว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกไม่หนีจากแมนซิตี้กับเชลซีอย่างแน่นอน แถมบางคนก็ยังให้ลิเวอร์พูลจบแค่ที่อันดับ 4 เป็นรองแมนยูเลยด้วยซ้ำ รวมไปถึงแฟนหงส์ด้วยกันก็ยังบ่นเลยว่าปีนี้ลุ้นแค่ท็อป 4 ก็พอ โดยผลงานเริ่มฤดูกาลมา 10 นัดแรกของพรีเมียร์ลีก ชนะ 6 เสมอ 4 แต่นัดที่ 11 ก็คือการพ่ายแพ้นัดแรกของซีซั่นที่ไปเยือนและแพ้ต่อขุนค้น เวสต์แฮม 3-2 สุดท้ายจบครึ่งฤดูกาล (19 นัดแรกของทีม) ด้วยผลงานรั้งอันดับ 3 ตามหลังเชลซีแต้มเดียว แต่ตามหลังจ่าฝูงอย่างแมนซิตี้อยู่ถึง 12 คะแนน ผลงานระดับนี้กับการเสริมทัพก่อนเปิดฤดูกาลเพียงคนเดียวก็ถือว่าสอบผ่านแล้วนะ เพราะคู่แข่ง 2 ทีมบนเป็นทั้งแชมป์เก่า และแชมป์ยูซีแอลมาหมาดๆด้วย แถมตลอดช่วงแรกจนถึงช่วงกลางฤดูกาลมีปัญหาสตาฟฟ์ และนักเตะติดโควิดอยู่ตลอดๆ แต่ตัดภาพไปที่ในเวทียุโรปกลับทำผลงานได้สุดยอดด้วยผลงานชนะ 100% ชนะรวดทั้ง 6 นัดในรอบแบ่งกลุ่มของยูซีแอล แถมโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ก็กลับมาระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอดอีกครั้งในช่วงตลาดซื้อขายหน้าหนาว ทีมหงส์แดงก็จัดการปาดหน้าสเปอร์สด้วยการคว้าตัว "หลุยส์ ดิอาซ" ตัวรุกทีมชาติโคลอมเบียมาจากเอฟซี ปอร์โต ซึ่งจะบอกว่าเป็นดีลแห่งปีเลยก็ว่าได้ เพราะ ณ ช่วงเวลานั้นลิเวอร์พูลต้องเสีย 3 ผู้เล่นชาวแอฟริกันไปทำศึก AFCON 2021 ประกอบไปด้วยโม ซาลาห์ (อียิปต์), ซาดิโอ มาเน่ (เซเนกัล) และนาบี เกอิต้า (กินี) ซึ่ง 2 คนแรกก็สามารถพาทีมชาติของตัวเองเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ทำให้ตลอด 1 เดือนของการแข่งขัน AFCON ลิเวอร์พูลต้องขาดผู้เล่นตัวหลักในแนวรุกไป 2 คน แต่ผู้เล่นที่เหลือคนอื่นๆ ก็ยังพาทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แถมการมาของดิอาซก็ช่วยเหลือทีมได้เยอะมากๆ จากการขาดหายไปของทั้งซาลาห์และมาเน่ และภายหลังก็เป็นหนึ่งในอาวุธทีเด็ดของทีมไปแล้วด้วย จนสุดท้ายเมื่อซาลาห์ มาเน่กลับมาผนึกกำลังกับผู้เล่นใหม่อย่างดิอาซ และเพื่อนร่วมทีมที่เหลือก็ค่อยๆ รักษาผลงานและฟอร์มการเล่นมาได้อย่างต่อเนื่อง จนทะลุเข้าชิงฟุตบอลถ้วยคาราบาว คัพกับเชลซี ซึ่งสุดท้ายก็ชนะการดวลจุดโทษ และคว้าแชมป์แรกของฤดูกาลมาได้ ส่วนผลงานในลีกจากที่เคยตามทีมเรือใบอยู่ถึง 12 คะแนน ก็ชนะเกมตกค้างในมือ และค่อยๆ ขยับอันดับแซงเชลซีขึ้นมาอยู่รองจ่าฝูง ค่อยๆ ช่องว่างคะแนนมาเหลือตามหลังจ่าฝูงเหลือเพียงคะแนนเดียว (ณ วันที่พิมพ์) จนตอนนี้จากที่ดูหมดลุ้นแชมป์ไปแล้วกลับกลายเป็นว่าในช่วงท้ายของฤดูกาลกลับมามีลุ้นแชมป์อย่างเต็มตัว ส่วนฟุตบอลถ้วยอีก 2 รายการที่เหลืออย่างเอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกก็ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว โดยเอฟเอ คัพจะเข้าไปชิงกับเชลซี ส่วนยูซีแอลจะดวลกับเรอัล มาดริดมาจนถึงตอนนี้ที่เป็นช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล 2021-2022 ก็อยากจะบอกว่าสำหรับแฟนๆ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลแล้ว ถือว่าทีมมาไกลมากแล้วจริงๆ มาไกลเกินกว่าที่จะฝันแล้ว เพราะถ้าดูจากการเสริมทัพช่วงต้นของซีซั่นที่เสริมมาแค่ตัวเดียว, สตาฟฟ์ + นักเตะก็ติดโควิด, ผู้เล่นตัวหลักก็ไปเล่นให้ทีมชาติถึง 1 เดือน และในลีกตามหลังจ่าฝูงถึง 12 คะแนน มันแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะบอกว่าช่วงท้ายของการแข่งขัน ทีมจะทำแต้มจี้หลังจ่าฝูงเหลือเพียงแต้มเดียว และบอลถ้วยอีก 3 รายการก็เข้าชิงทั้งหมด ซึ่ง 1 รายการจากทั้งหมด 3 รายการก็ได้มาครอบครองแล้ว แต่ทุกอย่างนั้นก็เกิดขึ้นแล้ว แถมไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเยอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีมอันเป็นที่รักของแฟนๆ ก็ทำการขยายสัญญาไปจนถึงปี 2026 จากที่สัญญาเดิมจะหมดลงในปี 2024 ก็ยิ่งทำให้หัวใจของเดอะ ค็อปป์เต็มไปด้วยความสุขเข้าไปอีกสุดท้ายแล้วไม่ว่าบทสรุปสุดท้ายลิเวอร์พูลจะเป็นยังไง จะเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ได้ 4 แชมป์ หรือ 3 แชมป์ หรือ 2 แชมป์ หรือสุดท้ายจะได้เพียงคาราบาว คัพถ้วยเดียว แต่สำหรับฤดูกาลนี้ของลิเวอร์พูลถือว่า "มาไกลเกินฝัน" แล้วเครดิตรูปภาพขอบคุณรูปภาพจาก Official Facebook ของ Liverpool FCภาพปก / ภาพประกอบ 1 / ภาพประกอบ 2 / ภาพประกอบ 3 / ภาพประกอบ 4 ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !