"ครึ่งชั่วโมง" คือ ระยะเวลานั่งคิด ทบทวนก่อนที่ผมจะลงมือพิมพ์บทความนี้ เพราะเรื่องราวและความรู้สึกของผมที่มีต่อผู้จัดการทีมอย่าง "เยอร์เกน คล็ออป์" นั้นมันมีมากมายเกินกว่าที่จะพูดถึงซะเหลือเกิน เพราะผมคิด คิด และคิดมาตลอดว่าถ้าหากทุกวันนี้ลิเวอร์พูลทีมรักของผมไม่มีผู้ชายที่ชื่อเยอร์เกน คล็อปป์คุมทีมอยู่ ลิเวอร์พูลจะเป็นยังไง จะเดินไปในทิศทางไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกันhttps://www.instagram.com/p/rQWcqapfKc/?utm_source=ig_embed&ig_rid=e65d152b-247d-4857-a683-bb81daf3b178&ig_mid=669F2A6A-9EE9-41F1-A2ED-D3AA832993A9หลังจากสิ้นสุดฤดูกาล 2013-2014 ด้วยความผิดหวังจากการพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกในช่วงท้ายฤดูกาล แฟนๆ ลิเวอร์พูลก็เหมือนคนอกหัก เพราะทีมรักของตัวเองนั้นเข้าใกล้สุดๆ ในการคว้าแชมป์ที่รอคอยมานานกว่าสองทศวรรษอย่างพรีเมียร์ลีกแต่ก็พลาดไป แถมหลังจากนั้นในช่วงปิดฤดูกาลทีมก็ต้องเสียกองหน้าคนสำคัญอย่างหลุยส์ ซัวเรสไปให้บาร์เซโลนา เจ้าบุญทุ่มจากสเปน แต่จำนวนเงินจากค่าตัวของซัวเรส เบรแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมในช่วงเวลานั้นก็นำมาเล่นแร่แปลธาตุจัดการเสริมทัพจำนวนมากทั้งเกมรับและเกมรุกเพื่อเข้ามาทดแทนการจากไปของซัวเรส ไม่ว่าจะเป็น ริคกี้ แลมเบิร์ต, เดยัน ลอฟเรน และอดัม ลัลลานา (เซาแธมป์ตัน), ลาซาร์ มาร์โควิช (ปาร์ติซาน), เอ็มเร ชาน (เลเวอร์คูเซน), ดิว็อค โอริกี (ลีลล์), อัลแบร์โต โมเรโน (เซบียา) และมาริโอ บาโลเตลลี่ (เอซี มิลาน) รวมทั้งหมด 8 คน เสริมทัพขนาดนี้ก็คงดูเหมือนจะทดแทนการจากไปของศูนย์หน้าคนสำคัญได้แต่ที่ไหนได้ ผลงานกับผลของการเสริมทัพนั้นช่างสวนทางกันซะเหลือเกิน เพราะสุดท้ายในฤดูกาล 2014-2015 บีร็อดพาทีมจบได้แค่อันดับ 6 แถมในช่วงท้ายของซีซั่นก็พาทีมแพ้ไปถึง 5 จาก 9 นัดสุดท้าย ยิ่งนัดสุดท้ายคือการบุกไปโดนสโต๊ค ซิตี้ถล่มถึง 6-1 แต่ที่ทำร้ายหัวใจของเหล่าเดอะ ค็อปก็คือการที่สตีเวน เจอร์ราร์ด กัปตันผู้อันเป็นที่รักของแฟนๆ กัปตันผู้เป็นสัญลักษณ์ของทีม ประกาศว่าฤดูกาลนี้จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของตัวเขากับทีม ยิ่งทำให้ซีซั่น 2014-2015 เป็นซีซั่นที่ย่ำแย่และไม่น่าจดจำของแฟนลิเวอร์พูลเลยแม้แต่น้อย ผลงานย่ำแย่, เสียผู้เล่นคนสำคัญ และแถมเป็นปีสุดท้ายของกัปตันของพวกเขาอีกเริ่มฤดูกาล 2015-2016 มาผลงานของร็อดเจอร์สในการคุมลิเวอร์พูลก็ยังบู่ต่อเนื่อง จนเข้าสู่ช่วงเดือนตุลาคม 2015 หลังจากเกมที่ลิเวอร์พูลพบกับเอฟเวอร์ตัน กุนซือตาหวานก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งเซ่นผลงานสุดย่ำแย่ในวันที่ 4 ตุลาคม และจากนั้นให้หลังเพียง 4 วัน วันที่ 8 ตุลาคม 2015 ลิเวอร์พูลประกาศแต่งตั้ง "เยอร์เกน คล็อปป์" เข้ามารับงานเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่พักเรื่องราว สตอรี่ที่ผมจะเขียนก่อนสักครู่นะครับ ขออนุญาตเล่าถึงความรู้สึกส่วนตัวของผมเองตอนที่รู้ว่าคล็อปป์จะมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ด้วยความที่ว่าไม่ค่อยติดตามฟุตบอลเยอรมัน หรือบุนเดสลีกามากซะเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้ว่าคล็อปป์พาดอร์ทมุนด์ต่อสู้กับบาเยิร์น มิวนิคจนแย่งแชมป์มาได้ถึง 2 สมัย และในปีสุดท้ายของคล็อปป์กับเสือเหลืองนั้นผมก็รู้เพียงแค่ว่าผลงานแย่ มีช่วงนึงหล่นไปในโซนตกชั้นด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร ผมยังจำความรู้สึกของตัวเอง ณ ตอนนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะผมไม่เชื่อมั่นเลยว่าคล็อปป์จะพาลิเวอร์พูลทีมที่ผมเชียร์กลับมาประสบความสำเร็จ คิดว่า FSG คิดอะไรอยู่ถึงได้เอามาคุม เพราะดอร์ทมุนด์ผลงานแย่ขนาดนั้น เอามาทำไม แต่นั่นก็คือความคิดและความรู้สึกในตอนนั้นซึ่งสุดท้ายแล้วมันคือความคิดที่ผิดมากๆ ของผมเลย ผมขอพูดถึงความรู้สึกของผม ณ ตอนนั้นเพียงเท่านี้ละกันครับ กลับไปที่เรื่องราวของเยอร์เกน คล็อปป์กับลิเวอร์พูลกันต่อเลยครับผมจะพาถ้วยแชมป์เข้าสู่สโมสรภายใน 4 ปี เพราะผมคือ The Normal Oneนี่คือข้อความเพียงบางส่วนในงานเปิดตัวของคล็อปป์กับลิเวอร์พูล และอีกข้อความนึงที่ในคล็อปป์พูดในงานเปิดตัวในวันนั้นที่จะเป็นหนึ่งในข้อความที่คลาสสิคที่สุดตลอดกาลข้อความนึงของสโมสรนั่นก็คือWe have to change from doubters to believers.หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คือ "เราจะต้องเปลี่ยนผู้ที่สงสัย ลังเลให้กลับมาเป็นผู้ที่มีความเชื่อและศรัทธา" สำหรับในข้อความแรกคือคำมั่นสัญญาของคล็อปป์ที่มอบให้กับสโมสร และเหล่าแฟนเดอะ ค็อปทั่วโลกว่าภายใน 4 ปีที่เขาคุมทีม เขาจะพาทีมคว้าแชมป์ให้ได้ ซึ่งในวันนั้นแฟนบอลทีมอื่นๆ (รวมถึงตัวผมเองด้วย) ก็ยังสงสัยเลยว่าจะตาแว่นจากเยอรมันคนนี้มันจะเปลี่ยนลิเวอร์พูลที่พังเละเทะได้ยังไง17 ตุลาคม 2015 หรือหลังจากวันเปิดตัวเพียง 9 วัน ส่วนตัวขอถือว่าวันนี้จะถูกจารึกไว้ว่าเป็นวันเริ่มต้นยุคใหม่ของทีม (หรือบางคนให้เป็นวันที่ 8 ตุลาคม) เพราะวันนี้เป็นวันที่คล็อปป์คุมลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก โดยจะต้องพาทีมบุกไปเยือนท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน โดยรายชื่อต่อไปนี้คือ 11 ผู้เล่นตัวจริงชุดแรกของคล็อปป์ที่จัดลงสนามในวันนั้น ได้แก่ ซิมง มินโญเลต์, นาธาเนียล ไคลน์, มาร์ติน สเคอเทล, มามาดู ซาโก้, อัลเบร์โต โมเรโน, ลูคัส เลวา, เอ็มเร ชาน, เจมส์ มิลเนอร์, ฟิลิเป้ คูตินโญ่, อดัม ลัลลานา และดิว็อค โอริกี ซึ่งถึงสุดท้ายแล้วเกมในวันนั้นจะจบลงด้วยผลเสมอ 0-0 แต่แฟนหงส์แดงกลับมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และเห็นความหวังในการกลับมายิ่งใหญ่จากชายที่ชื่อว่า เยอร์เกน คล็อปป์รูปแบบการเล่นของคล็อปป์ที่นำมาใช้กับลิเวอร์พูลนั้นมีชื่อเรียกว่า "เกเก้น เพรสซิ่ง" คือการบีบเพรสซิ่งใส่คู่แข่งตั้งแต่แดนของคู่แข่ง เพื่อให้ได้บอลกลับมาครอบครองใกล้ประตูคู่แข่งมากขึ้น โดยแท็คติกนี้ของคล็อปป์นั้นต้องใช้ความเข้าใจในแท็คติก ความมุ่งมั่นในการบีบเพรสซิ่ง และพละกำลังในการบีบเพรสซิ่ง ซึ่งในช่วงแรกของการคุมทีมลิเวอร์พูล คล็อปป์โดนแซวว่าแท็คติกนี้คือ "การวิ่งควาย" เพราะนักเตะลิเวอร์พูลยังไม่เข้าใจแท็คติกนี้ดีเท่าที่ควร มีแต่วิ่ง แต่วิ่งแบบนี้ไม่มีทิศทางและไม่ได้ประโยชน์ แถมยังต้องแลกมากับอาการบาดเจ็บของนักเตะ โดยเฉพาะในตำแหน่งแฮมตริงที่ในช่วงแรกนักเตะลิเวอร์พูลมีอาการบาดเจ็บในกล้ามเนื้อส่วนนี้หลายๆ คนhttps://www.instagram.com/p/CZEcKsbIRhd/?utm_source=ig_web_copy_linkสำหรับผลงานของคล็อปป์กับลิเวอร์พูลในฤดูกาลแรกที่ยังไม่เต็มฤดูกาลดีนั้นถือว่าเป็นที่น่าพอใจมากๆ เพราะคล็อปป์เหมือนต้องใช้วัตถุดิบที่ตัวเองไม่ได้เลือกมา (มีเพียงสตีเวน คอลเกอร์ กองหลังที่ยืมมาจาก QPR และมาร์โก กรูยิช กองกลางเรดส์ สตาร์ เบลเกรด แต่ก็ให้ต้นสังกัดยืมไปใช้ก่อน ซึ่งว่าเป็นการซื้อตัวคนแรกในยุคของคล็อปป์) แต่ก็ประคับประคองทีมให้เข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยได้ถึง 2 รายการ ได้แก่ ลีก คัพ และยูโรปา ลีกแต่ก็พบกับความแพ้ทั้ง 2 รายการ ส่วนผลงานในลีกก็จบอันดับที่ 8 อดไปทั้งยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และยูโรปา ลีก แต่ก็มีแมตช์ที่ฝากไว้ให้เป็นความทรงจำ เช่น แมตช์ที่พลิกกลับมาชนะนอริช ซิตี้ได้อยู่สุดมัน 5-4 พอมาถึงฤดูกาลต่อมา (2016-2017) ที่ได้เริ่มคุมทีมแบบเต็มฤดูกาลครั้งแรก คล็อปป์นั้นเสริมทัพชุดใหญ่จำนวน 6 คนด้วยกัน โดยไปคว้าตัว จอร์จิโน ไวจ์นัลดุม, ซาดิโอ มาเน, โจเอล มาติป, ลอริส คาริอุส, รักนาร์ คลาวาน และอเล็กซ์ แมนนิงเกอร์ เข้ามาเป็นแบ็คอัพในตำแหน่งนายทวาร แถมมีการดันแบ็คขวาดาวรุ่งอย่างเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์ ขึ้นมาจากทีมเยาวชนอีกด้วยในฤดูกาลต่อมาอย่าง ฤดูกาล 2017-2018 คล็อปป์ก็ทำการเสริมทัพอย่างหนักโดยในตลาดซัมเมอร์ก็ไปคว้าตัว โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ปีกชาวอียิปต์จากโรม่า และอเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน กองกลางจากอาร์เซนอล และแอนดี้ โรเบิร์ตสัน แบ็คซ้ายจากฮัลล์ ซิตี้ และในตลาดหน้าหนาวก็ทุบสถิติสโมสรด้วยการคว้าตัวเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ปราการหลังจากเซาแธมป์ตันด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ แต่ในตลาดหน้าหนาวนั้นลิเวอร์พูลก็ต้องเสียฟิลิเป้ คูตินโญ่ เพลย์เมกเกอร์ของทีมไปให้กับบาร์เซโลนา ด้วยค่าตัวสถิติสโมสรเหมือนกัน (142 ล้านปอนด์)ทั้งสองฤดูกาลที่ผมพูดถึงอยู่นี้ คล็อปป์สามารถพาทีมจบในลีกด้วยอันดับที่ 4 ทั้งสองฤดูกาล แต่ฤดูกาล 17-18 นั้น คล็อปป์สามารถพาทีมเข้าชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2007 แต่สุดท้ายก็พ่ายต่อเรอัล มาดริดไป 3-1 ต้องชอกช้ำในนัดชิงไปอีกครั้ง แถมมีจังหวะพลาดของคาริอุสในนัดชิงวันนั้นซึ่งมันส่งต่อการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ในฤดูกาลถัดมาและแล้วระยะเวลาการคุมลิเวอร์พูลของคล็อปป์ก็เดินทางมาถึงฤดูกาลที่ 4 ซึ่งนั่นก็คือ ฤดูกาล 2018-2019 ถ้ายังจำประโยคที่คล็อปป์บอกไว้ในวันที่เปิดตัวกันได้ เจ้าตัวบอกว่าจะพาลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ให้ได้ภายใน 4 ปี ซึ่งช่วงเวลานั้นกำลังเดินทางมาถึงตามคำที่คล็อปป์เอ่ยไว้ซึ่งก็ยังไม่มีใครรู้ว่าจะทำสำเร็จได้หรือไม่ ด้วยค่าตัวมหาศาลของคูตินโญ่ระดับ 142 ล้านปอนด์ ทำให้ตลาดซื้อขายซัมเมอร์ คล็อปป์ทำการชอปครั้งใหญ่ด้วยการดึงอลิสซอน เบ็คเกอร์ มาจากโรมา เพื่อแก้ไขปัญหาผู้รักษาประตู, ฟาบินโญ่ มิดฟิลด์ตัวรับจากโมนาโก เซอร์ดาน ชากิรี จากสโต๊ก ซิตี้ และก่อนหน้านั้นก็ทำการพรีออเดอร์นาบี เกอิตา กองกลางจากไลป์ซิกตั้งแต่ก่อนจบฤดูกาล 17-18หลังจากฟูมฟักทีมมาเข้าปีที่ 4 จะบอกว่าในที่สุดคล็อปป์มีทีมที่ลงตัว ทีมที่ตัวเป็นคนสร้างอย่างเต็มตัวแล้วก็ว่าได้ คล็อปป์ผสมผสานนักเตะที่เลือกเองกับนักเตะที่อยู่มาก่อนแล้วได้อย่างลงตัว โดยซีซั่นนี้คล็อปป์จะมี 11 ผู้เล่นตัวจริงที่ใช้อยู่ประจำ ได้แก่ อลิสซอน, เทรนต์, มาติป , ฟาน ไดจ์ค ,โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ่, เฮนเดอร์สัน, ไวจ์นัลดุม, ซาลาห์, เฟอร์มิโน, มาเน จะเห็นได้ว่าใน 11 ตัวจริง มีถึง 8 คนที่ซื้อเข้ามาในยุคของคล็อปป์ และมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่อยู่กับทีมก่อนที่คล็อปป์จะเข้ามาซึ่งได้แก้ เฮนเดอร์สัน, ลัลลานา และเฟอร์มิโนเมื่อได้ทีมที่ตัวเองเป็นคนเลือก แท็คติกที่นักเตะเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว บวกทีมงานสตาฟฟ์โค้ชระดับคุณภาพ ฤดูกาล 2018-2019 ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลทำผลงานได้อย่างสุดยอดทั้งในประเทศและเวทียุโรป โดยผลงานในลีกนั้นทีมของคล็อปป์พัฒนาตัวเองขึ้นอย่างมาก จากทีมที่ลุ้นแค่เพียงโควต้าไปยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก กลายมาเป็นผู้ท้าชิงในการแย่งแชมป์อย่างเต็มตัว โดยผลงานในลีกนั้นคล็อปป์พาทีมต่อสู้ เบียดแย่งแชมป์กับแมนซิตี้ของเป๊ป กวาร์ดิโอลาได้อย่างดุเดือดตลอดทั้งฤดูกาล แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้ต่อเรือใบชนิดที่ต้องลุ้นกันยันนัดสุดท้าย และจบตำแหน่งรองแชมป์ที่คะแนนรวม 97 คะแนน ทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีกที่มีคะแนนสูงที่สุด ซึ่งผลงานในลีกนั้น แข่งกัน 38 นัด คล็อปป์พาทีมชนะไปถึง 30 นัด เสมอ 7 และแพ้เพียงนัดเดียว ซึ่งการพ่ายแพ้นัดเดียวนั้นคือการพ่ายต่อแมนซิตี้นั่นเอง แต่ในเวทียูแอลนั้นคล็อปป์พาทีมเถลิงบัลลังก์แชมป์ถ้วยหูโตสมัยที่ 6 ได้สำเร็จด้วยการชนะท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์สในรอบชิงชนะเลิศ 2-0 แถมฝากสุดยอดการคัมแบ็คในแมตช์รอบรองฯ ที่พ่ายแพ้ต่อบาร์เซโลนาในนัดแรก 0-3 ก่อนที่จะพลิกนรกกลับมาชนะได้ในนัดที่สอง 4-0 เป็นแมตช์ที่แฟนหงส์แดงยากจะลืมจริงๆและใช่ครับ คำสัญญาที่คล็อปป์ให้ไว้ว่าเขาจะพาทีมคว้าแชมป์ให้ได้ภายในระยะเวลา 4 ปี คล็อปป์ทำสำเร็จจริงๆ และเป็นแชมป์รายการที่ใหญ่ที่สุดของเวทียุโรปดีด้วยฤดูกาลต่อมาคล็อปป์ก็ยังพาลิเวอร์พูลร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดหัวซีซั่น 2019-2020 ด้วยการเป็นแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ต่อด้วยแชมป์สโมสรโลก และปิดท้ายด้วยการปิดฉากของการรอคอยที่ยาวนาน 30 ปีของสโมสรและเดอะ ค็อปทั่วโลกด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จ พ่วงด้วยสถิติการเป็นแชมป์ที่เร็วที่สุด (นับจากจำนวนแมตช์) แต่กว่าที่ทีมจะได้แชมป์สุดปรารถนานี้มาครองได้นั้นก็สุดแสนจะยากเย็นเหลือเกิน เพราะทั้งโลกต้องเจอกับการระบาดของโควิด-19 ทำให้ฟุตบอลต้องหยุดการแข่งขันไปทั่วโลกไปหลายเดือน และสุดท้ายหลังกลับที่กลับมาเตะกันต่อได้ การรอคอยของลิเวอร์พูลก็สิ้นสุด แต่งานฉลองแชมป์นั้นก็สุดแสนจะกร่อย เพราะในพิธีชูถ้วยที่แอนฟิลด์นั้นไม่มีแฟนบอลในสนามเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงทีมงานผู้เกี่ยวข้องและนักเตะเท่านั้นที่อยูในสนาม แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียเราก็ได้แชมป์ที่รอคอยมาแล้วด้วยน้ำมือของเยอร์เกน คล็อปป์และในฤดูกาล 2020-2021 ฤดูกาลล่าสุดนี้ คล็อปป์พาทีมสลัดความผิดหวังจากฤดูกาล 2019-2020 ที่จบซีซั่นด้วยมือเปล่า แถมผู้เล่นก็มีอาการบาดเจ็บตลอดทั้งฤดูกาล คล็อปป์พาทีมมีลุ้น 4 แชมป์จนมาถึงช่วงท้ายฤดูกาลนี้ และพาทีมได้แชมป์ไปแล้ว 2 จาก 4 รายการที่ทำการคั่วแชมป์กันอยู่ ได้แก่ คาราบาว คัพ และสดๆ ร้อนๆ เลยคือ เอฟเอ คัพ ด้วยการชนะการดวลจุดโทษกับเชลซีทั้ง 2 รายการ เหลืออีกเพียง 2 ถ้วยเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายแล้วจะได้แค่ 2 แชมป์ หรือลากยาวไปคว้า 3 แชมป์ หรือ 4 แชมป์ แต่จบฤดูกาลนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วสำหรับแฟนหงส์แดง เพราะของขวัญที่ดีที่สุดของลิเวอร์พูลและแฟนๆ ในฤดูกาลนี้คือการที่คล็อปป์ต่อสัญญากับทีมไปอีก 2 ปี ไปจนถึงปี 2026 จากเดิมที่สัญญาจะหมดในปี 2024 ซึ่งแฟนลิเวอร์พูลทั่วโลกพร้อมใจพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าดีใจยิ่งกว่าเซ็นต์สัญญาคว้านักเตะมาเสียอีก ขาดใครก็ได้แต่ขออย่าขาดบอสก็พอ และจนถึงทุกวันนี้ทำให้คล็อปป์คว้าแชมป์กับลิเวอร์พูลไปแล้วทั้งหมด 6 รายการสำหรับเดอะ ค็อปป์ทั่วโลก เยอร์เกน คล็อปป์ไม่เพียงแต่เป็นผู้จัดการทีม แต่เขาเปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัว เขาดูแล เทคแคร์ ให้ความอบอุ่นแก่ทุกคนในสโมสร เขาบริหารจัดการทรัพยากรในสโมสรได้อย่างสุดยอด เขามีกอดที่อบอุ่นให้แก่ทุกคนโดยเฉพาะนักเตะที่เขาจะกอดลูกทีมของเขาทุกคนก่อนลงสนาม กอดหลังจากถูกเปลี่ยนตัวออก และกอดหลังจบเกมทุกเกม เขายุติธรรมพอกับนักเตะทุกคน มีครั้งนึงในช่วงที่โรเบิร์ตสันมาแรกๆ และต้องตกเป็นตัวสำรองของโมเรโน ทำให้ร็อบโบ้เกิดความสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องตกเป็นตัวสำรอง เขาทำการเดินเข้าไปคุยกับคล็อปป์ที่ห้องทำงานตรงๆ ถามว่าต้องทำยังไงถึงจะได้ลงเป็นจริง คล็อปป์ก็ตอบว่าให้ใจเย็นๆ พัฒนาการฝึกซ้อม ปรับจังหวะให้เข้ากับทีม และพิสูจน์เห็นว่าพร้อมเป็นตัวจริง สุดท้ายแล้วเมื่อโอกาสมาถึง (โมเรโนเจ็บ) เมื่อร็อบโบ้พร้อมและความเชื่อมั่นของคล็อปป์ที่มีต่อร็อบโบ้ คล็อปป์ก็ส่งร็อบโบ้ลงสนามแทน และเจ้าตัวก็สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างถาวรนับตั้งแต่นั้นมา จะเห็นได้ว่าคล็อปป์เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองเตะของตัวเองมาก มีอะไรก็พูดออกไปตรงๆ คำไหนคำนั้นเช่นเดียวกับการปล่อยตัวนักเตะที่ทัศนคติไม่ดีต่อทีม เป็นปัญหาต่อทีมออกไป เช่น มามาดู ซาโก และมาร์โควิช รวมไปถึงคูตินโญ่ที่ต้องการอยากจะย้ายไปบาร์เซโลนาตั้งแต่ตลาดซัมเมอร์แต่สุดท้ายก็อยู่กับทีมต่อและย้ายในช่วงหน้าหนาว คล็อปป์ก็เคยบอกและออกแนวเตือนว่าถ้าคุณอยู่ต่อคุณจะเป็นตำนานของที่นี่ และจะมีรูปปั้นของคุณ แต่ถ้าย้ายออกไปคุณก็จะเป็นเพียงนักเตะธรรมดาคนนึงของทีมนั้นๆ ซึ่งสุดท้ายก็เป็นอย่างที่คล็อปป์พูดจริงๆ เพราะคูตี้นั้นล้มเหลวกับบาร์ซาอย่างสิ้นเชิงถึงแม้จะมีแชมป์ติดมือมาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเป็นตัวหลักของทีมเลยก่อนที่จะถูกปล่อยยืมไปบาเยิร์น มิวนิค และแอสตัน วิลลาในฤดูกาลนี้ก่อนที่วิลลาจะซื้อขาดก่อนที่จะไปถึงบทสรุปเนื้อหาที่หายาวสุดๆ ของบทความนี้ ผมก็มีกลุ่มคน 3 กลุ่มที่อยากจะขอบคุณนั่นก็คือกลุ่มคนแรก กลุ่ม FSG ที่นำโดยจอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี เจ้าของทีมที่เชื่อมั่นและเลือกดึงคล็อปป์เข้ามาคุมทีม กู้วิกฤติของทีม จนพาทีมกลับมายิ่งใหญ่จนถึงทุกวันนี้ ถ้าหากไม่ใช่ FSG ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเลือกคล็อปป์เข้ามาหรือไม่กลุ่มคนที่สอง ทีมงานสตาฟฟ์โค้ชทุกคน ทุกคนคือฟันเฟือง และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งสโมสรและคล็อปป์เลย ไม่ว่าจะเป็นเป๊ป ลินเดอร์ส หรือปีเตอร์ คาเวียตซ์ รวมไปถึงคนอื่นๆ ด้วยที่มีส่วนในการพาทีมมาถึงทุกวันนี้กลุ่มคนสุดท้าย นักเตะลิเวอร์พูลทุกคน ทุกคนสู้เพื่อสโมสร เชื่อมั่นในสโมสร และที่สำคัญเชื่อมั่นและเชื่อฟังในเยอร์เกน คล็อปป์ ส่วนคนสุดท้ายนี้ (ของแถม) อยากขอบคุณอุลลา แซนดร็อค ภรรยาคู่ชีวิตของคล็อปป์ ที่ยังรัก หลงใหล และยังอยากอยู่ที่ลิเวอร์พูลต่อ ทำให้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่คล็อปป์ต่อสัญญากับทีมไปจนถึง 2026 ขอบคุณนะครับ55555555555555555555 ^^สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่านี่เป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต หรือโชคดีของลิเวอร์พูลเหมือนกันที่มีผู้ชายที่เยอร์เกน คล็อปป์เป็นผู้จัดการทีม แต่ทุกวันนี้มันก็คือความจริงที่ผู้ชายคนนี้คือคนที่พาลิเวอร์พูลกลับมายิ่งใหญ่ กลับมาเขย่าโลกฟุตบอลได้อีกครั้ง และหวังว่าบอสจะอยู่กับลิเวอร์พูล และเหล่าเดอะ ค็อปไปอีกนานๆ นะครับเครดิตรูปภาพขอบคุณรูปภาพจาก Official Instagram และ Official Facebook ของลิเวอร์พูลภาพปก / ภาพประกอบ 1 / ภาพประกอบ 2 / ภาพประกอบ 3 / ภาพประกอบ 4 / ภาพประกอบ 5 / ภาพประกอบ 6 / ภาพประกอบ 7 / ภาพประกอบ 8 / ภาพประกอบ 9ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมตช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !