หากในเมืองมีห้างสรรพสินค้าเป็นแหล่งอาหารที่หล่อเลี้ยง ขับเคลื่อนชาวกรุง ชนบทอันแสนห่างไกลก็คงมีป่าทำหน้าที่ผลิตอาหารเลี้ยงชาวบ้านผู้ยากไร้ หากแต่วันนี้ป่าไม้อันเปรียบเสมือนหัวใจของคนพื้นที่ห่างไกล กำลังถูกคุกคาม บางแห่งก็ถูกทิ้งให้รกร้างก่อเกิดเป็นปัญหาลุกลามจนยากเกินกว่าจะแก้ไขครอบครัวของลุงปัน ชายสูงวัยรูปร่างเล็ก ประกอบอาชีพเกษตรกรรมในพื้นที่สูงมาหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ชุมชนที่เขาอยู่อาศัยได้รับพระราชทานอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ไว้ให้ประชาชนได้ใช้ในการกสิกรรม ส่งผลให้กลุ่มคนที่อยู่อาศัยบนพื้นที่สูงซึ่งหาเลี้ยงชีพด้วยการทำไรเลื่อนลอย ย้ายถิ่นฐานลงมาพื้นราบและตั้งรกรากเป็นชุมชนจนถึงทุกวันนี้ลุงปันเล่าว่าเมื่อก่อนพื้นที่ป่าบริเวณนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผักหวาน เห็ด สัตว์ป่าและพรรณไม้หายากนานาชนิด แต่หลังจากเกิดวิกฤติใหญ่ทั้งปัญหาไฟป่า และการลักลอบข้ามมาตัดไม้กฤษณาจากกลุ่มนายทุน ส่งผลให้วิถีชีวิตของคนในพื้นที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ป่าดิบชื้นซึ่งเคยมีพื้นที่กว่า 1 หมื่นไร่ กลับค่อย ๆ หายไปทีละน้อย จนชุมชนต้องคอยจัดทีมลาดตระเวนคอยดูแลผืนป่าทำให้วิถีชีวิตของผู้คนซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยป่าไม้เริ่มห่างไกลออกไปทุกที หนุ่มสาวหลายคนที่เคยมีรายได้จากการหาของป่าก็ต้องออกไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น เพราะในหนึ่งปีพวกเขาสามารถทำนาได้เพียงครั้งเดียว หากไม่มีน้ำเพียงพอต่อการทำไร่ พวกเขาก็จะเข้าป่าหาอาหารไปจำหน่ายเพื่อนำรายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่หลังจากถูกคุกคามจากคนนอกพื้นที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้กังวลในเรื่องความปลอดภัยและทยอยออกไปทำงานนอกพื้นที่มากขึ้นอย่างไรก็ดีในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทางชุมชนได้ทำงานเชิงรุกมากขึ้น พยายามช่วยกันจัดทีมลาดตระเวนเพื่อเฝ้าระวังผู้ลักลอบตัดไม้ และทำแนวป้องกันไฟควบคู่กันไปด้วย ทำให้พวกเขาสามารถหยุดยั้งปัญหาการบุกรุกจากกลุ่มผู้ลักลอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ตอนนี้อาจไม่ได้ป่าที่อุดมสมบูรณ์กลับมา 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เริ่มมีผลผลิตที่จับต้องได้ให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้วหลายอย่าง ลุงปันนำกระสอบปุ๋ยสีขาวมาให้เราดู ข้างในบรรจุสิ่งหนึ่งไว้จนเต็มกระสอบ เมื่อเปิดออกมาจึงรู้ว่ามันคือ “ผลลูกสนภูเขา” ซึ่งเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่สูงตั้งแต่ 800-1400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งนิยมนำไปใช้ในการตกแต่งอาคารสถานที่ให้ดูมีชีวิตชีวา สนนราคาขายส่งอยู่ที่กิโลกรัมละ 140-170 บาท โดยประมาณลุงปันอธิบายว่า ลูกสนจะผลิดอกออกผลในช่วงเดือนพฤศจิกายน และในช่วงเดือนธันวาคมผลแห้งก็จะทยอยทิ้งต้นร่วงหล่นลงสู่พื้นให้ชาวบ้านได้เก็บไปขายนำรายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่เมื่อถูกกลุ่มนายทุนลักรอบเข้ามาตัดไม้ความปลอดภัยก็ต้องมาก่อนทำให้เมื่อ 3-4 ปีก่อนจึงไม่มีใครกล้าขึ้นเขาไปเก็บลูกสน ถึงขนาดที่บางครั้งกลุ่มคนซึ่งไปลาดตระเวนช่วยกันแบกลงมาไม่ไหวเลยทีเดียวนอกจากลูกสนจะมีประโยชน์ในด้านการตกแต่งแล้ว เรายังทราบว่าลูกสนแห้งเหล่านี้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงชั้นดีด้วยเช่นกัน เพราะลักษณะของผลที่เหมือมีน้ำมันชโลมอยู่ทั่วผิวทำให้ง่ายต่อการติดไฟ และมีอายุการใช้งานยาวนาน ทำให้ชาวบ้านในอดีตนิยมเก็บลูกสนเขามาเป็นเชื้อเพลิงหุงต้มอาหารด้วยเช่นกันเมื่อลูกสนกลับมาแสดงว่าป่าเริ่มทำการฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติ ส่งผลให้ชุมชนบนที่สูงแห่งนี้ต้องเร่งทำงานเชิงรุกขึ้นไปอีก เพราะหากพวกเขาสูญเสียพื้นที่ไปมากกว่านี้จะไม่ส่งผลดีต่อทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อย่างแน่นอน โดยเฉพาะแหล่งน้ำซึ่งเป็นปัญหาหลักของชุมชนมาหลายสิบปี ถึงแม้จะมีอ่างเก็บน้ำไว้ใช้สอยแต่ก็เพียงพอสำหรับฤดูกาลเก็บเกี่ยวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้เป้าหมายต่อไปของชุมชนคือการเอาน้ำกลับคืนมาให้ชาวบ้านได้ใช้สอยในช่วงฤดูแล้งนั่นเอง ลุงปันกล่าวกับเราว่า “หากมีน้ำก็จะมีชีวิต ธรรมชาติจะจัดการฟื้นฟูตัวของมันเอง” ทำให้เราตระหนักได้ว่าปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การปลูกป่าทดแทนเหมือนที่หลายคนเข้าใจ แต่วิธีการหยุดพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของมนุษย์ต่างหากคือสิ่งที่ยากที่สุดในการฟื้นฟูธรรมชาติ เพราะป่าไม้ต้องใช้เวลา 5-10 ปี กว่าจะฟื้นฟูและสร้างระบบนิเวศน์ขึ้นมาหล่อเลี้ยงตัวเองได้ก่อนจากลาชายชราได้ฝากลูกสนภูเขาเอาไว้ให้เราเป็นเครื่องเตือนใจ ที่ผ่านมาธรรมชาติไม่เคยเรียกร้องอะไรจากมนุษย์ พวกเขาคอยช่วยเหลือและดูแลเราเสมอ ให้อาหาร ให้พลังงาน ให้ความอบอุ่น สิ่งเดียวที่ธรรมชาติต้องการจากเราก็คือ หยุดรังแกเขาแล้วเขาจะกลับมาเป็นทุกอย่างให้กับเราเหมือนที่เคยเป็นมา ภาพประกอบโดยผู้เขียน