“ลูกไม่เคยเหมือนใครนอกจากเรา”คำกล่าวนี้คงจะไม่เกินเลยจากความเป็นจริงในชีวิตของคนเป็นพ่อแม่...เท่าใดนัก เพราะ เราเป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น ช่วงนี้มีผู้ปกครองหลายท่าน inbox / line / call ... มาปรึกษาเรื่องลูกกับผมพอสมควร เรื่องวิธีการเลี้ยงดูและอยากหาอะไรให้ลูกทำเหมือนอิ่มเอมลูกสาวของผมที่เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ และอีกหลาย ๆ สิ่ง หลากหลายเรื่องราวข้อแนะนำของผมอันดับแรกก่อนเลยคือ 1. ต้องเข้าใจก่อนว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ในทั้งความคิด / การใช้ชีวิต / ทัศนคติ / การเลี้ยงดู /สังคม/ ความเป็นอยู่ / และสุดท้ายคือ พ่อแม่ของแต่ละคนเอง ก็มีแนวคิดในการเลี้ยงลูกที่แตกต่างกัน ดังนั้น การที่เราจะให้ลูกเราเป็นอะไรหรืออยากให้เป็นอะไรนั้นต้องสุดแล้วแต่ที่ตัวของเด็กเองและ พ่อแม่ของเด็กเอง ทางที่ดีต้องพูดคุยสื่อสารกับลูกของตัวเองให้มาก หมั่นสอบถาม , สังเกต , แนะนำ และคอยให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ จนสุดความสามารถ ในส่วนของอิ่มเอมนั้น ผมและมาดาม ภรรยาของผมเอง มีหน้าที่ support เส้นทางที่เค้าเลือกเดินเอง คอยโค้ช เขาให้เขาได้รู้จัก เป้าหมายของตัวเอง และสร้าง mindset ที่ดีต่อชีวิตของเขาได้ด้วยตัวของเขาเอง -เราไม่มีหน้าที่เอาจุดด้อยที่เราทำไม่ได้ในครั้งเก่าก่อนมายัดเยียดให้ลูกของเราทำ“เพราะในบางครั้งคนเป็นพ่อแม่เองก็เผลอเอาปมของตัวเองมาผูกมัดปมของลูกให้เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว”-พ่อแม่ไม่ได้มีหน้าที่เอาสิ่งที่เด็กคนอื่นเป็นมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกเรา การเปรียบเทียบลูกของตัวเองกับลูกคนอื่นเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับพ่อแม่ เพราะต้องจ่ายดอกเบี้ยแห่งความเจ็บปวดเพิ่มเป็นบาดแผลในใจของลูกเอง-พ่อแม่ไม่มีหน้าที่คิดแทนลูกในทุกเรื่อง เพียงแค่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ต้องเปิดพื้นที่ให้ลูกของเราได้เรียนรู้ด้วยตัวของลูกเองบ้าง 2. เพิ่มการสนใจและใส่ใจในทุกรายละเอียดของลูกแต่ไม่ใช่จับผิดหรือคอยบีบบังคับให้ลูกทำ ความใส่ใจมันก็บอกตรงตัวตามความหมายอยู่แล้ว -พ่อแม่ต้อง "ดู" ลูกให้เป็น มองเห็นในสิ่งที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ อย่าพยายามเลี้ยงลูกของตัวเองแบบคู่ขนาน คือ การใช้ชีวิตผ่านไปวัน ๆ โดยไม่รับรู้ถึงการดำรงชีวิตอยู่ของลูกคุณ เช่นพ่อแม่ที่ชอบถามลูกตอนกลับบ้านว่า กินอะไรหรือยัง ? ทำการบ้านหรือยัง ? โดยที่ ไม่เคยไปดูว่าลูกเราทานอะไร หรือ ไปเปิดสมุดการบ้านของลูกดู ซึ่งครอบครัวคู่ขนานไม่ใช่วิถีของคนเป็นพ่อแม่-พ่อแม่ต้อง "ฟัง" ลูกให้เป็น ฟังในสิ่งที่ลูกไม่เคยพูดให้ได้ว่าเขาต้องการจะสื่อสารอะไรกับเรา ต้องได้ยินในสิ่งที่เขาไม่ได้พูดแต่ต้องการจะบอกเราได้ อย่าลืมว่าเด็กจะมีเสียงและผู้ใหญ่อย่างเราจะมีหู อย่าทำตัวกลับกันนะครับ เพราะเสียงทุกเสียงของลูกมีความหมาย การฝึกทักษะการฟังสำหรับคนเป็นพ่อแม่ จำเป็นมาก-พ่อแม่ต้อง "พูด" กับลูกให้เป็น พูดให้ลูกในแบบที่ลูกสามารถสร้างการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่พูดเพื่อทำลายล้าง พูดเพื่อทำลายจิตใจ พ่อแม่หลายคนทำร้ายจิตใจลูกด้วยคำพูดเชิงลบ ซึ่งมันไม่ใช่ผลดีตอนปลายทางเลย-พ่อแม่ต้อง "รัก" ลูกให้เป็น ต้องรักลูกทั้งภายนอกและภายในต้องโอบอุ้มลูกให้ถูกทาง อย่างถูกต้องเหมาะสม สอนลูกให้รู้จักคุณธรรม จริยธรรม และ ศีลธรรม และยังต้องดำรงตัวให้เป็นแบบอย่างของลูกตัวเองด้วย ถ้าคุณเป็นน้ำเสีย แต่คุณพร่ำบอกลูกคุณตลอดเวลาว่า ต้องเป็นเด็กดี สิ่งเสพติดไม่ยุ่งอบายมุขไม่แตะ แต่ตัวคุณกลับทำเสียเอง คุณก็ยากที่จะผลิตน้ำดีได้ เช่นกัน -พ่อแม่ต้อง "ให้เกียรติ" ลูกให้เป็น รับรู้ถึงคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ ต้องรู้จักไว้ใจลูก เชื่อใจลูก และเชื่อมั่นในตัวของลูกคุณ 3. พ่อแม่จงแสดงออกและเรียนรู้กันภายในครอบครัวกันให้มาก เพราะเด็กเรียนรู้ทุกอย่างจากเราแม้เราไม่เคยสอนหรือพูดเรื่องนั้นก็ตาม หมั่นสร้างบทสนทนาที่มีชีวิตในครอบครัวกันให้มาก ต้องพยายามสร้างพื้นที่ปลอดภัยของครอบครัวให้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่คนเป็นพ่อแม่จะได้สามารถบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาให้ลูกตัวเองได้ “เพราะลูกไม่เคยเหมือนใครนอกจากเรา” 4. จริงแล้วรู้ว่ามันจะเหนื่อยมากที่คุณจะทำได้หมดในทุกข้อแต่ข้อย้ำว่าคุณต้องทำให้หมดทุกข้อแล้วผลลัพธ์ปลายทางมันจะคุ้มค่าแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีความรักอันบริสุทธิ์และความอดทนได้มากน้อยแค่ไหนด้วยเช่นกัน“พ่อแม่เป็นด้านมืด และ ด้านสว่าง ให้ลูกเสมอ แล้ว เราล่ะ ผลักลูกให้ลูกเติบโตเข้าหาแสง หรือ ตอกตะปูให้ลูกเข้าสู่ด้านมืด อยู่ที่คนเป็นพ่อแม่ทั้งสิ้น”สิ่งที่ได้ลูกของคุณอาจจะไม่ได้เป็นเด็กที่เลิศเลอหรือเก่งกาจมากมายนักแต่ลูกของคุณจะเป็นเด็กที่มีความสุขทุกช่วงวัยของเค้าจริง "หน้าที่ของพ่อแม่ ไม่ใช่พยายามทำให้ลูกของเราเจอปัญหาให้ลดน้อยลง แต่หน้าที่ของพ่อแม่คือ ทำให้ลูกเผชิญปัญหาและอยู่กับความเป็นจริงให้ได้มากขึ้นต่างหาก"เป็นกำลังใจให้พ่อแม่ทุกท่านครับเพราะการเลี้ยงลูกมันคือศิลปะอย่างหนึ่งของพ่อแม่..Cr.ภาพประกอบทั้งหมดจากนักเขียน#ครูอ๊อฟ