ล่องคลองบางหลวงชมเรือนทรงฝรั่ง“เวนิสตะวันออก” เป็นฉายาที่ชาวตะวันตกตั้งให้กรุงเทพมหานคร ด้วยว่ามีลำคลองมากมาย ทั้งคลองธรรมชาติ และคลองขุด ราวกับเมืองเวนิสแห่งอิตาลี ในยุคสมัยที่แม่น้ำลำคลองที่โยงใยหากัน ถูกใช้เป็นเส้นทางคมนาคมหลัก ทำให้บ้านเรือนที่อยู่ริมน้ำได้เปรียบเรื่องการเดินทาง “คลองบางกอกใหญ่” หรือ “คลองบางหลวง” เป็นแม่น้ำสายเก่า ที่ถือได้ว่าเป็นตำนานที่มีชีวิต เพราะเป็นเส้นทางที่ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง จึงมีเรือนขุนนางในสมัยรัชกาลที่ ๔ จนถึง ๗ อยู่หลายหลังเส้นทางสำรวจเรือนเก่าของฉัน เริ่มต้นที่ท่าเรือวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เรือหางยาวแล่นผ่านป้อมวิไชยประสิทธิ์ ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าสู่เส้นทางคลองบางหลวง อย่างผู้ที่คุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี (เรือทุกลำต้องเข้าคิวรอประตูน้ำคลองบางหลวงในช่วงบ่ายโมง)(เรือนหลังงามริมคลองบางหลวงที่ซ่อนตัวอยู่หลังแมกไม้)เรือนหลังแรกที่ฉันแวะชื่นชม อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือโรงเรียนเผดิมศึกษา พอเดินพ้นหัวโค้งใต้สะพานบางไผ่ เรือนสีเทอควอยซ์ตัดขอบด้วยสีเหลืองดอกแดฟโฟดิล ก็ปรากฏขึ้นแก่สายตา เรือนหลังนี้เดิมเป็นของคุณหลวงธุรประกาส “คุณนพพล” ซึ่งเป็นเจ้าของใหม่ ได้ซื้อต่อมาจากทายาทรุ่นปัจจุบัน เพื่อดัดแปลงให้เป็นร้านอาหารสไตล์คาเฟ่ และสถานที่จัดงานพรีเวดดิ้ง(ลักษณะเรือนเครื่องไม้เรขาคณิต ที่มีการตกแต่งด้วยเส้นสาย ทั้งเส้นตั้ง เส้นขวาง และถ้าสังเกตดูบริเวณหน้าจั่วของบ้าน จะเป็นลักษณะที่เรียกว่า “มะนิลาจั่วตัด)“ลงทุนเยอะเหมือนกันนะ แพงกว่าสร้างใหม่ บานปลายไปเรื่อย ๆ หาช่างยาก เก่งจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะหาช่างอยุธยาแท้น่ะไม่มี อันนี้น่ะช่างสุพรรณ แต่ตัวลูกน้องน่ะไม่ใช่ ไม้ยังเป็นไม้เดิม ๆ เป็นไม้สักทอง กระจกยังเป็นกระจกสีของเดิม” เจ้าของเรือนคนใหม่เล่า เมื่อฉันขออนุญาตชื่นชมบนเรือนพิศดูเรือนหลังนี้มีลวดลายก็จริง แต่ไม่ใช่ลวดลายแบบขนมปังขิงอย่างที่เราคุ้นตากัน นักวิชาการทางสถาปัตยกรรมเรียกเรือนแบบนี้ว่า “เรือนไม้เครื่องเรขาคณิต” เป็นรูปแบบเรือนที่นิยมกันในช่วงรัชกาลที่ ๖ เนื่องจากว่ามหาอำนาจ ๒ ขั้ว ฝรั่งเศสและอังกฤษได้ยกเลิกสัญญาที่จะสู้รบกันแล้ว สยามในขณะนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างเรือน ให้มีรูปแบบศิวิไลซ์อย่างโคโรเนียลในยุคนั้นอีกแล้ว หวนกลับมาใช้งานไม้ที่มีจำนวนมากในยุคนั้นเรือนไม้เครื่องเรขาคณิตหลังนี้ มีการใช้ลวดลายเส้นสายทั้งแบบเส้นตรง เส้นตั้ง และการตีเส้นระแนง อย่างตรงแผงกันสาดของเรือนมีการตกแต่งเป็นแนวนอน ส่วนหน้าต่างเป็นลักษณะบานเกล็ดที่กระทุ้งเข้าได้อย่างฝรั่งเศส มีจุดสังเกตที่มองข้ามไม่ได้เลย คือ หลังคา ซึ่งเป็นทรงที่เรียกว่า “มนิลาจั่วตัด” ประดับลายก้านขดพรรณพฤกษาอย่างเทศ คาดว่าน่าจะทำขึ้นมาใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๗ เมื่อเข้ามาในตัวเรือนกลิ่นสีที่ยังกรุ่น ทำเอาฉันต้องเผลอย่นจมูก คนงาน ๒-๓ คน ขยับตัวเปิดทางให้ฉันสำรวจได้ตามสบาย เจ้าของบ้านชี้ชวนให้ดูตู้ไม้แบบบิ้วท์อิน ซึ่งออกแบบให้มีประโยชน์ใช้สอยในการเป็นฝากั้นห้องไปด้วยในตัว (ตู้แบบบิ้วท์อินที่เจ้าของเรือน ใช้ประโยชน์เป็นฝากั้นห้องไปด้วยในตัว)(ภายในห้องจะเห็นด้านหลังของตู้)ในสมัยรัชกาลที่ ๖ มีสถาปนิกที่สำคัญอยู่ ๒ คน คนหนึ่งชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เป็นชาวอังกฤษ และ แมคเคอโร คาโฟ เป็นชาวอิตาเลียน ทั้งสองเป็นผู้ออกแบบงานสร้างประยุกต์จากเรือนไทยที่มีฝาปะกนมาเป็นเรือนยุโรปกึ่งไทย สำหรับเรือนคุณหลวงธุรประกาสหลังนี้ ผู้ออกแบบเขาไม่ได้เอาฝาปะกนมาทั้งดุ้น แต่ปรับแต่งให้เป็นการเข้าไม้แบบถาวรในแนวขวาง น่าเสียดายที่ทายาทปัจจุบันไม่ทราบประวัติของเรือนหลังนี้ เรื่องที่ว่าสถาปนิกคนใดเป็นผู้ออกแบบ จึงยังคงเป็นปริศนาต่อไปฉันร่ำลาเจ้าของเรือนพร้อมกับคำมั่นสัญญา ว่าจะกลับมาเยือนเรือนหลังนี้อีกครั้ง ในวันที่มันงามสมบูรณ์พร้อมอวดโฉม แล้วลงเรือย้อนกลับไปขึ้นท่าน้ำวัดปากน้ำ เดินผ่านตรอกแคบ ๆ ลัดเข้าสู่วัด พร้อมกับต้องคอยทำเสียงจุ๊ ๆ ปรามเจ้าถิ่นสี่ขาเป็นระยะ ๆ(หมาแมววัดนี้ตัวกลมดีจริง)ที่จริงแล้วฉันตั้งใจจะมาเยือนอาคารโรงเรียนวัดอัปสรสวรรค์ แต่เมื่อได้ใช้ตรอกของวัดปากน้ำเป็นทางผ่าน จึงถือโอกาสแวะไปกราบสรีระสังขารของหลวงพ่อสด เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวด้วย(สรีระสังขารหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ)เมื่อพ้นตรอกที่เป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างวัดปากน้ำ และวัดอัปสรสวรรค์ “หอไตรกรุกระจกเกรียบ” สมัยอยุธยา ที่ว่ากันว่าเหลือแห่งเดียวในกรุงเทพมหานครก็อยู่เบื้องหน้านี่เองที่ว่าเหลือแห่งเดียวในนครหลวงอาจไม่ได้เป็นคำพูดที่เกินจริง เพราะกรรมวิธีในการผลิตกระจกเกรียบที่ยุ่งยากเหลือเกิน คือ นำเอาตะกั่วหรือดีบุกไปต้ม แล้วผสมกับเกล็ดกระจกที่ผ่านการบดจนละเอียด ก่อนที่ตะกั่วหรือดีบุกจะแข็งตัว ก็เอามารีดให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วตัดเป็นรูปทรงเรขาคณิต ก่อนจะนำไปประดับหอไตรหรือตู้พระธรรม วิธีการทำกระจกเกรียบมีเส้นทางมาจากประเทศอินเดียและประเทศจีน สยามรับเอามาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัย(หอไตรกรุกระจกเกรียบแห่งสุดท้าย ปัจจุบันมีผู้รื้อฟื้นกรรมวิธีในการผลิตกระจกเกรียบขึ้นมาจนสำเร็จ)หอพระไตรปิฎกหลังนี้ที่บานประตูหน้าต่าง เป็นลวดลายเทคนิครดน้ำ ส่วนตรงกรอบหน้าต่างเป็นลักษณะที่เรียกว่า “กรอบหน้าต่างทรงปราสาท” ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย น่าเสียดายที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นรัชสมัยใด แต่ได้รับการบูรณะใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เดินเลยจากหอพระไตรปิฎกและโบสถ์วัดอัปสรสวรรค์ไปไม่ไกล จะพบกับอาคารเก่าทรวดทรงแปลกตาอย่างตึกฝรั่ง อาคารหลังนี้คือ “โรงเรียนวัดอัปสรสวรรค์” โรงเรียนหลังงามนี้สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๖ ดำริสร้างโดยนายสุและนางใย พานสุโพติ ซึ่งเป็นเศรษฐีในละแวกนั้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับลูกชาย และต้องการให้โรงเรียนแห่งนี้ เป็นโรงเรียนสอนปริยัติธรรมแก่พระ-เณรจนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงมีการอพยพพระ-เณรไปเรียนที่อื่น เพราะเกรงจะเป็นอันตรายจากระเบิด โรงเรียนจึงถูกปิดตายอยู่ราว ๒๐-๓๐ ปี หลังจากนั้นคุณครูเฉลียว แฉล้ม เห็นว่าอาคารหลังนี้อยู่ในภาวะสุญญากาศมานาน จึงได้ติดต่อกับเจ้าอาวาสในยุคนั้น เพื่อขอเช่าทำเป็นโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ๑-๔ ไม่นานก็เพิ่มชั้น ป.๕ และ ป.๖ อาคารหลังนี้รับใช้คุณครูและเด็กๆ อยู่ราว ๔๐ ปี จึงยุติกิจการ ปัจจุบันคุณเกษม พงษ์ไพบูลย์ เป็นผู้ดูแล และอยากพัฒนาให้เป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชน(โรงเรียนวัดอัปสรสวรรค์ ถ้ามองจากด้านหน้าจะเห็นโครงสร้างซ้าย-ขวาเท่ากัน แล้วมีมุขยื่นออกมาอย่างสถาปัตยกรรมดิโอพาราเดียน)(ซุ้มระเบียงของโรงเรียนผสานกลิ่นอายของศิลปะ ร็อค โคโค่ อยู่ด้วย)(ผู้ดูแลคนปัจจุบันพยายามเก็บรักษาข้าวของไว้ เพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชน)(แผ่นกระเบื้องนำเข้าล็อตเดียวกับพระราชวังสนามจันทร์)(ในสมัยนั้นห้องเรียนเป็นโถงยาว ใช้กระดานดำมากั้นแบ่งระดับชั้น)(กระจกย้อมสีของเดิมของอาคาร ในยุคสมัยหนึ่งโรงเรียนถูกเช่าทำเป็นโรงเรียนกวดวิชา ผู้เช่าได้ขัดเอาสีย้อมออก จนเหลือเพียงที่เห็น)(ห้องพระประจำโรงเรียน)โรงเรียนหลังนี้เป็นฝีมือของช่างไทยและช่างจีนร่วมกันสร้าง ถ้าเรามองจากทางด้านหน้าอาคารจะเห็นโครงสร้างซ้าย-ขวา เท่ากัน แล้วมีมุขยื่นออกมาอย่างสถาปัตยกรรมดิโอ พาราเดียน และในขณะเดียวกันก็มีกลิ่นอายของอาร์ต เดโค่ เจืออยู่บาง ๆ ด้วย แต่! ที่จริงแล้วโครงสร้างที่น่าสนใจของสถานศึกษาร้างแห่งนี้ กลับอยู่ที่ใต้เท้าของฉันนี่เองความสงสัยนี้ก่อตัวขึ้นเมื่อฉันขึ้นมายืนบนตึก แล้วรับรู้ได้ถึงความลาดเอียงอย่างผิดสังเกต ที่แท้เป็นเพราะอาคารหลังนี้เคยโดนระเบิดในช่วงสงครามโลก แต่ที่ไม่ถล่มลงมาเสียก่อน เป็นเพราะมีน้ำช่วยพยุงจากกรรมวิธีก่อสร้างส่วนฐานแบบโบราณ คือ ใช้ไม้ไผ่สานเป็นโครงสี่เหลี่ยม คลุมลงไปบนแทงก์บรรจุน้ำเพื่อช่วยพยุงตัวอาคารเอาไว้ และก่อเป็นอาคารคอนกรีตขึ้นมาอีกชั้นคุณเกษมเล่าว่าแต่ก่อนพวกเด็ก ๆ เขามาจับกุ้งแม่น้ำ จับปลาจากใต้อาคารไปกินกันได้ทีละหลายตัว น่าเสียดายที่เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ ตอนปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ น้ำท่วมขึ้นมาถึงที่นี่ทำให้น้ำเสียปะปนเข้าไปในแทงก์ สัตว์น้ำพวกนี้จึงอยู่ไม่ได้เมื่อเดินผ่านราวบันไดและซุ้มระเบียงแบบร็อคโคโค่ขึ้นไปยังชั้นบน ทำให้ฉันรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้สวมกระโปรงพองบานแบบในละครเรื่องวนิดามาด้วย ไม่เช่นนั้นคงได้บรรยากาศดีไม่น้อยที่ชั้นบนนี้เป็นห้องยาว สมัยก่อนอาศัยเพียงกระดานดำกั้นแบ่งระดับชั้นเรียน ปัจจุบันมีข้าวของยุคเก่าจัดแสดงตามประสงค์ของผู้ดูแล ที่อยากให้อาคารหลังนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชน ที่ด้านขวาสุดของชั้นบนเป็นห้องพระ ที่มีมาตั้งแต่เริ่มสร้างโรงเรียน เมื่อกราบพระพุทธรูปประจำโรงเรียน หัวใจที่กำลังตื่นเต้นกับความงามของอาคารโบราณพลันสงบลง แสงอาทิตย์ส่องลอดกระจกย้อมสี จนพื้นกระเบื้องของอาคารเรียนแต้มไปด้วยแสงสีแดง เหลือง น้ำเงิน ถึงเวลาต้องเดินทางต่อ น่าเสียดายที่ท่าน้ำของโรงเรียนได้ปิดไปแล้ว จึงต้องย้อนกลับทางเก่าไปขึ้นเรือที่ท่าของวัดปากน้ำ มุ่งหน้าสู่ “วัดหงรัตนารามราชวรวิหาร”แดดยามบ่ายสลายความร้อนลงไปกว่าครึ่ง นักท่องเที่ยวต่างชาติที่นั่งเรือสวนมาโบกมือให้หยอย ๆ คงรู้สึกตื่นเต้นสนุกสนาน จากการนั่งเรือหางยาวซิ่งกระแทกผิวน้ำขึ้น ๆ ลง ๆ ในขณะที่พาหนะของฉันค่อยค่อย ๆ ล่องผ่านบ้านเรือน ตลาด โรงเรียนที่มีอาคารหลังงาม เนื่องจากขุนนางในสมัยรัชกาลที่ ๕ บริจาคเรือนและที่ดินให้ยังประโยชน์แก่ชาวบ้านละแวกนั้น ไม่กี่อึดใจเรือก็เข้าเทียบท่าของวัดหงฯวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ยุคนั้นเป็นวัดราษฎร์ ชื่อว่า “วัดเจ๊สัวหง” หรือ “แจ๊สัวหง” หรือบางทีก็เรียก “วัดขรัวหง” เพราะตั้งตามชื่อของเศรษฐีชาวจีนผู้สร้าง คือ นายหง เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมาสร้างราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรี เมื่อเห็นว่าพระราชวังเดิมอยู่ใกล้กับวัดเก่าแห่งนี้ จึงได้ทรงบูรณะโบสถ์และศาลาการเปรียญขึ้นใหม่ และมักใช้ที่นี่เป็นสถานที่นั่งวิปัสสนากรรมฐานภายในพระอุโบสถ เมื่อถึงยุคสมัยของกรุงรัตนโกสินทร์วัดขรัวหง ยังได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ และเปลี่ยนชื่ออีกหลายครั้ง จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) วัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร ได้ถูกจัดลำดับศักดิ์เป็น พระอารามหลวงชั้นโท และมีฐานะเป็นพระอารามชั้นราชวรวิหาร ตามพระบรมราชโองการประกาศ เรื่องจัดระเบียบเป็นพระอารามหลวงเป็นชั้นโท ราชวรวิหาร จากชื่อวัดหงส์อาวาสบวรวิหาร พระอารามหลวง (ที่ตั้งเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) จึงได้เปลี่ยนเป็นวัดหงส์รัตนาราม ราชวรวิหาร มาจนถึงปัจจุบัน ฉันเคยได้ยินแม่เล่าว่าภายในอุโบสถของวัดหงฯ มีพระแสน จากเมืองเชียงแตงประดิษฐานอยู่ ซึ่งล่ำลือกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปสักการะ แต่จะอธิษฐานเรื่องอะไรนั้นฉันต้องขออุบไว้ เพราะถือเคล็ดว่าหากบอกคนอื่นไปแล้วจะไม่สัมฤทธิ์ผล หลังกราบครบสามครั้งเมื่อเงยหน้าขึ้นมา พิศดูก็พบวงพระพักตร์เมตตา มุมปากหยักยิ้มอย่างที่อาจารย์ศักดิ์ชัย สายสิงห์ ให้นิยามพุทธศิลป์นี้ว่า “ยิ้มแบบล้านช้าง” ทำให้นักเดินทางที่ผจญแดดร้อนมาทั้งวันรู้สึกชุ่มเย็นขึ้นมาอย่างประหลาด(หลวงพ่อพระแสน แห่งเมืองเชียงแตง เมืองเชียงแตงเดิมอยู่ในแขวงจำปาสัก แต่แผนที่ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศกัมพูชา)ที่ด้านหลังอุโบสถใหญ่ยังมี “ศาลาตรีมุข” ศาสนาคารหลังนี้ประดิษฐาน “หลวงพ่อสุข” หรือ “หลวงพ่อทองคำ” พระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์นี้เป็นศิลปะสมัยสุโขทัย เดิมท่านประดิษฐานอยู่ในวิหารร้าง จนกระทั่งพุทธศักราช ๒๔๙๙ เกิดรอยกระเทาะจึงเห็นเนื้อในเป็นทอง มีอักษรจารึกที่ฐานองค์พระว่า “สร้างในปี พ.ศ. ๑๙๖๖ สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี”( หลวงพ่อสุข แห่งวัดหงฯ จัดว่าเป็นทองเนื้อห้า คือมีทั้งส่วนประกอบที่เป็นทองคำและสำริด)จากพระพุทธรูปทองคำที่มีประวัติน่าตื่นเต้น ฉันออกเดินเท้าเข้าสู่ตรอกเจริญพาศน์ ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่๑ ในตรอกนี้เคยเป็นที่อยู่ของนักเขียนหลาย ๆ ท่าน เช่น ส. พลายน้อย น.ม.ส. พ.เนตรรังสี และ ประมูล อุณหธูป เป็นต้นที่ปากตรอกเป็นกุฎีเจริญพาศน์ (อิมามบาระฮ์ชีอะฮ์) ลักษณะอย่างเรือนมะนิลาประดับด้วยไม้ฉลุลวดลายอย่างขนมปังขิง หลังคากระเบื้องโมเสกสีเขียวสดใส น่าเสียดายที่วันนี้กุฎีไม่เปิด ฉันจึงทำได้เพียงเกาะรั้วชื่นชมแต่เพียงห่าง ๆออกจากตรอกฉันเดินย้อนกลับไปตามถนนอิสรภาพ บริเวณทางออกรถไฟฟ้าใต้ดินประตูที่ ๑ ยังมีเรือนขนมปังขิงสีเขียวเปปเปอร์มินต์หวานหยด เรือนหลังนี้เป็นเรือนหอของพลตรีพระยาอินทรวิชิต และคุณหญิงอินทรวิชิต ท่านเจ้าคุณเป็นทหารบก ได้รับทุนไปศึกษาด้านการทหารที่ประเทศเยอรมัน จนกระทั่งได้รับการติดยศร้อยตรีของเยอรมัน เมื่อกลับบ้านเกิดเมืองนอนก็ได้ประดับยศเป็นนายทหารชั้นร้อยตรีของไทยอีก ท่านอยู่ในกิจการทหารบกมาโดยตลอด จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๕ จึงได้ย้ายไปอยู่กระทรวงการต่างประเทศ โดยดำรงตำแหน่งทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่นเรือนหลังนี้สร้างด้วยไม้สักทอง มีห้องชั้นบนและชั้นล่างเท่ากัน ๔ ห้อง มีใต้ถุนสูงทำเป็นห้องใต้ดินใช้เก็บของ (เรือนหอคุณพระอินทรวิชิตและคุณหญิง ท่านเป็นบุคคลที่เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๕ และเสียชีวิตในรัชกาลที่๙) (ผิวไม้สักทองที่ผ่านการเวลามาถึง ๑๐๖ ปีแล้ว แต่ก็ยังคงงดงาม ปัจจุบันเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดินแล่นผ่านทางใต้พื้นบ้าน ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่เป็นอันตรายต่อตัวบ้าน)(ใต้ถุนบ้านที่ดัดแปลงเป็นห้องเก็บของ)“เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีการทิ้งระเบิด คนส่วนมากจะเข้าไปหลบภัยในวัดราชสิทธาราม คนแถวนี้ที่สูงอายุแล้วมาเล่าให้ฟังว่า เขามีพี่น้องที่เคยมาหลบระเบิดที่ใต้ถุนบ้านด้วย” คุณตุ้มทายาทปัจจุบันเล่าปัจจุบันเรือนหลังนี้อายุ ๑๐๖ ปีแล้ว เจ้าของรุ่นปัจจุบันมีแผนที่จะพัฒนาให้เป็นโรงแรมเล็ก ๆ ถ้าเปิดกิจการเมื่อไรฉันคงไม่พลาดแน่ ๆ พระอาทิตย์เริ่มราแสง ฉันอำลาเรือนขนมปังขิงอย่างอาวรณ์ เมื่อลงบันไดสู่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ก็ราวกับทะลุมิติไปสู่อีกโลก เป็นโลกแห่งเทคโนโลยีที่ทุกสิ่งแสนรวดเร็วปรูดปราดขอขอบคุณคุณชวิศา ชวลิตเสวี แห่งเพจบางกอกนัวร์ ผู้นำทางย้อนอดีต (เรื่องและภาพประกอบโดย: Tuapueng)