สิ่งแรกเมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดนครพนม หลังจากเก็บสัมภาระเข้าที่พัก คือ การนั่งเรือล่องไปในแม่น้ำโขง ซึ่งรุ่นน้องเจ้าถิ่นขอแนะนำและอาสาพาไปเยือน อีกทั้งยังเป็นผู้ออกค่าบริการให้พวกเราอีก ในราคาเพียงคนละ 50 บาท เรือที่เราใช้บริการเป็นเรือของเทศบาลนครพนม ซึ่งออกเพียงวันละเที่ยวเดียวเท่านั้น ในเวลา 17.00 น. เมื่อเรือเริ่มแล่นออกจากท่า จึงเริ่มมีเสียงสำเนียงอีสานแถบนครพนมบรรยายเพื่อให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ เช่น ชมพระอาทิตย์ตกลงตรงกลางระหว่างยอดหอคอยทั้งสองของโบสถ์นักบุญอันนา ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2469 เพื่อเป็นตัวแทนของความหลากหลายทางเชื้อชาติ จากนั้นเรือจึงเลี้ยวหัวกลับ บริเวณก่อนถึงปลายแหลมของเกาะสันดอนทรายกลางลำน้ำโขง “เมื่อข้ามกึ่งกลางแม่น้ำโขงไปสู่เส้นเขตแดนของลาว อากาศจะเย็นมากกว่านี้” สิ้นถ้อยคำของรุ่นน้องเจ้าถิ่น อากาศเย็นของทางฝั่งลาวก็ปะทะเข้าอย่างจังกับผิวหนังจนรับรู้ได้ถึงอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้บรรยายประจำเรืออธิบายให้เราทราบถึงลักษณะภูมิประเทศของ สปป.ลาว บริเวณแขวงคำม่วน (ฝั่งตรงข้ามกับนครพนม) ที่เต็มไปด้วยภูเขาหินปูนที่ทอดตัวยาว ผนวกกับลมที่พัดจากฝั่งลงมาสู่แม่น้ำโขง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอากาศเย็น แต่ทว่าทำไมเมื่อข้ามกึ่งกลางลำน้ำกลับเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทย อากาศจึงร้อนเหมือนเดิม ? นับว่าเป็นเรื่องที่น่าฉงนน่าสงสัยเสียนี่กระไร “นั่นไงพระธาตุนคร” เสียงจากผู้บรรยายประจำเรือดังขึ้น พร้อมชี้ไปยังฝั่งใต้ของแม่น้ำ ปรากฏภาพของยอดพระธาตุนคร ซึ่งเป็นพระธาตุประจำวันเกิดของคนที่เกิดวันเสาร์ รวมระยะเวลาบนเรือที่ล่องไปนานกว่าหนึ่งชั่วโมง คุ้มสุดคุ้มกับราคา แต่ด้วยความหิว ทำให้เมื่อขึ้นจากเรือจึงต้องเร่งหาอะไรทาน น้อง ๆ จึงแนะนำเมนูเด็ดประจำถิ่น ซึ่งผมเลือกทานข้าวต้มเส้น (ข้าวเปียกเส้น) ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ กับก๋วยเตี๋ยว ก่อนจะปิดท้ายยามค่ำคืนด้วยการไปนั่งชิล ๆ ณ ด่านศุลกากรนครพนม และริมแม่น้ำโขง บริเวณสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 3 ถือเป็นความสุขที่สุด @นครพนมในวันแรกเสียจริง ๆ ***รูปภาพโดยผู้เขียน***