จากบทความที่แล้วที่ใครได้อ่านและติดตามการเดินทางไปทางตอนใต้ของไทยเรา เพื่อที่จะไปท่องเที่ยวพักผ่อนตามสถานที่ต่าง ๆ ที่แรกนั้นก็ไม่ได้มีรีววิวให้เห็นมากนัก เพราะไปถึงภูเก็ต ก็ใกล้ ๆ จะหมดช่วงกลางวันของวันนั้นแล้ว แต่วันนี้ ตามคำสัญญาว่าจะพาไปดูอีกหลาย ๆ ที่ วันนี้ได้นำเอาภาพความประทับใจสวย ๆ มาให้ชมกัน แต่ขอออกตัวไว้ก่อนว่าบางสถานที่ ผมเองก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกันว่า มันชื่อว่าอะไรบ้าง เพราะไปหลายที่ ส่วนมากก็ไม่ค่อยถ่ายกับป้ายบอกสถานที่ด้วย เลยต้อขออภัยมาในที่นี้ไว้ก่อนเลย ก็ธรรมดาสำหรับคนที่ไปเที่ยวโดยไม่มีคนคอยพาเที่ยว พาแนะนำเหมือนกรุ๊ปทัวร์ต่าง ๆ เอาละถ้าพร้อมกันแล้ว ไปดูกันเลย ท้าวความก่อน จากบทความที่แล้ว เผื่อใครที่ไม่ได้ติดตามจะได้กลับไปตามดูก็ได้นะครับ ครั้งที่แล้วผมอยู่ที่ แหลมพรหมเทพ ภูเก็ต ซึ่งบอกได้เลยว่าสวยงามตามท้องเรื่อง เป็นที่ชมพระอาทิตย์ตกดิน ที่เขาว่ากันว่าสวยที่สุดในประเทศไทย และวันนี้ไปต่อกันเลย สถานที่ ๆ จะไปนั้นต้องใช้เรือในการเดินทาง บอกตรง ๆ ผมก็แอบกลัวเหมือนกัน เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยถูกโรคกับการเดินทางทางน้ำเท่าไร แต่ไม่เป็นไร มาแล้วต้องเอาให้สุด สรุปการเดินทางโดยเรือจากฝั่งไปยังเกาะนั้น ใช้เวลาไม่นานเท่าไร โล่งใจไปหน่อย คนขับเรือก็ขับได้นุ่มมาก ไม่มีโคลงเคลงให้เราเมาคลื่นเลย ปกติผมเป็นคนที่มักจะเมาเรืออยู่บ่อยครั้ง ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี โดยสารโดยเรือผ่านมาประมาณ 30 นาที อันที่จริงถ้าจะไปยังเกาะจริง ๆ นั้น คงไม่ถึงขนาดนี้ เพราะมีการแวะชมสถานที่ ระหว่างการเดินทางด้วย ซึ่งก็คุ้มค่ากับการรอคอยระหว่างการเดินทาง ที่แรกที่แวะระหว่างเดินทางมาถึงแล้ว เรือจอดเทียบฝั่ง บอกได้เลยว่าสุดยอด ผมไม่เคยเจอทะเลที่ไหนน้ำใสขนาดนี้มาก่อน ใสมาก แบบที่เราลงเดินในน้ำ ฝุ่นหรือเศษดินต่าง ๆ แทบจะไม่มีลอยขึ้นมาให้เห็นเลย ใสจริง ๆ เขาตะปู หรือเกาะตะปู จังหวัด พังงา ตั้งอยู่ในเวิ้งอ่าวของเกาะเขาพิงกัน เป็นเกาะเล็กๆที่ไม่สามารถขึ้นไปบนเกาะได้ ผมก็พึ่งรู้ว่าทะเลและเกาะเหล่านี้ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ อ่าวพังงา จังหวัดพังงา ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่า เป็นเขตพื้นที่ของจังหวัดภูเก็ต ในเขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงานั้น มีลำคลองจากเกาะ ไปเชื่อมกับหมู่เกาะปันหยี ที่เป็นจุดหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้ ที่นี่อากาศถือว่าร้อน น่าจะประมาณ 34-36 องศาเลยทีเดียว ลืมบอกไปสำหรับใครที่อยากมาเที่ยว ชมเกาะชมทะเลแบบนี้ อย่างลืม 3 สิ่งที่ควรมีติดตัวไว้ และมันสำคัญมากสำหรับที่นี่ คือครีมกันแดด แว่นกันแดด และปลอกแขน ที่เราใช้สวมแขนไม่ให้แดดเผานั่นเอง ถ้าไม่มีมาละก็ รับรองกลับไปคุณกลายเป็นคนผิวสองสีแน่นอน ไปต่อกันเลยนั่งเรือออกมาจากเกาะตะปูได้ประมาณ 20 นาที เห็นจะได้ อันนี้ไม่ได้แวะที่ไหนเลยเพราะต้องการไปให้ถึงเกาะปันหยี หรือเราเรียกอีกอย่างว่า หมู่บ้านลอยน้ำ จากนั้นก็มาถึง เห็นจากระยะไกลคิดว่ามีไม่กี่หลังคาเรือนที่ตั้งอยู่บนน้ำทะเล แต่คิดผิดถนัด พอไปถึงจริง ๆ มีอยู่หลายครอบครัวมากที่อยู่ในนั้น ในนี้มีทั้ง บ้าน โรงเรียน สถานที่ราชการอื่น ๆ ก็มีเช่นกันนะครับ เป็นอะไรที่คาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ไม่คิดว่าจะมีชุมชนที่อาศัยอยู่กันเป็นหมู่บ้านและใช้ชีวิตอยู่กลางน้ำแบบนี้ มาตลอดหลายช่วงอายุคน น่าประทับใจจริง ๆ เสียดายที่เข้าไปในหมู่บ้านแล้วถ่ายภาพได้ไม่สวย เพราะในนั้นออกจะแออัดไปหน่อย สำหรับการที่จะมีแสงลอดเข้าไป ส่วนมากจะเป็นการจุดเทียนเพื่อให้แสงสว่าง และก็ไฟฟ้าที่มีจำกัด อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาใช้ไฟฟ้าจากที่ไหน อาจจะเป็นเครื่องปั่นไฟ หรืออะไรทำนองนั้น ส่วนเรื่องน้ำ ก็มีการขนส่งจากทางฝั่งข้ามมาอีกที และที่นี่วันที่ผมมา คนเยอะมาก ไม่สามารถหามุมถ่ายภาพได้เลย นอกจากด้านนอกแบบนี้ ที่เอามาให้ชมได้ หลังจากเดินชมภายในหมู่บ้าน ก็ได้เวลาเดินทางต่อ ซึ่งในแต่ละที่ก็ใช้เวลาไม่มาก พอเก็บภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ สถานที่ต่อไป เป็นสุสานหอย ที่มีซากหอยทับถมมานานนับพันปีเลยทีเดียว แต่เขาเรียกกันว่าสุสานหอยล้านปีเลยนะนั่นมาหลายที่พึ่งจะมีภาพถ่ายกับป้ายแบบนี้ มาถึงแล้วหาดนพรัตน์ธารา เป็นเขตพื้นที่ของจังหวัดกระบี่ ซึ่งไม่ห่างกันก็เป็นสุสานหอยล้านปี ที่เป็นที่เลื่องลือกันมาหลาย ๆ ปาก ว่าเป็นสุสานหอย ที่มีอายุยาวนานที่สุดของประเทศไทย สุสานหอยล้านปี จังหวัดกระบี่ ที่จริงมีพิพิธภัณฑ์ เก็บสะสมซากหอยที่มีอายุหลายพันปีไว้ที่นี่ด้วย สุสานหอยนั้นเป็นแหลมที่ยื่นออกจากฝั่งไปยังทะเล เป็นลักษณะหินปูนหนา1-2 เมตรเห็นจะได้ ถือว่าหนามาก บางที่มากถึง 3 เมตรเลยทีเดียว บ้างก็ว่ามันมีการทับถมของหอย และซากดึกดำบรรพ์ มากกว่า 35 ล้านปี โอ้โหอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ให้เราได้ชม สุดยอดมาก ๆ ระหว่างเดินชมก็ระวังกันหน่อยนะครับ ที่เห็นผมยืนอยู่นั่น ไม่ใช่เรื่อง่ายเลย ทั้งลื่นทั้งแหลมคมจากเปลือกของซากหอย มันแข็งมาก ถ้าดูดี ๆ พื้นที่ผมยืนอยู่นั้น ที่จริงมันเป็นซากหอยทั้งสิ้น ไม่ใช่ก้อนหินอย่างที่เราเข้าใจนะครับ มันคือซากของเปลือกหอย ที่อัดกันแน่นจนเกิดความหนามาก ขนาดเป็นเหมือนก้อนหินแผ่นหิน แต่อันที่จริงมันคือเปลือกหอยล้วน ๆ หลังจากไปดูหอยล้านปีแล้วเดินทางต่อเนื่อง ไปเป็นคนถ้ำซะแล้ว การเดินทางต้องนั่งเรือลำเล็ก เพื่อลอดเข้าไปภายในถ้ำที่อยู่ลึกเข้าไปประมาณ 1 กิโลเห็นจะได้ ถ้าวัดตามความคดเคี้ยวรอบ ๆ ถ้ำ ก็ถือว่าน่ากลัวใช้ได้ แต่สวยมากครับขอบอก ถ้ำเลเขากอบ จังหวัดตรัง ก็เดินดูภายในถ้ำที่มีความเย็นไม่ใช่น้อย แนะนำพกเสื้อหรือใส่เสื้อหนา ๆ ไปด้วย อากาศข้างในแตกต่างจากข้างนอกถ้ำอย่างสิ้นเชิง ในถ้ำจะเป็นหินย้อยลงมาตามลักษณะโดยรวม ในนั้น ติดไฟเพิ่มความสว่างสำหรับนักท่องเที่ยว ทำให้มีสีสันที่สวยงามไปโดยปริยาย ก่อนจบทริปแวะไหว้พระกันหน่อย อันนี้บอกตรง ๆ จำชื่อไม่ได้ว่าวัดอะไรต้องขออภัยด้วย เป็นวัดอยู่บริเวณเนินเขาอะไรสักอย่าง สวยงามมาก มีองค์เจดีย์ใหญ่ มองเห็นแต่ไกลให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในยุคสมัยโบราณ ดูศักสิทธิ์ เงียบสงบเหมาะกับการมาทำบุญ ก็อยู่ตรงนี้ได้ไม่นานนัก เพราะเวลาก็ใกล้จะหมดแล้ว แต่แดดตอนนี้ร้อนมาก เพราะทั้งวัดล้วนแล้วแต่เป็นหินปูน ที่ดูดซับความร้อนไว้ทั้งวัน ผมมาตอนประมาณบ่ายแก่ ๆ แล้ว จึงรับความร้อนจากวัดไปเต็ม ๆ หรือว่าผมเข้าวัดแล้วร้อนหรือยังไง จากนั้นดก็เตรียมตัวกลับที่พัก ปิดท้ายด้วยการแวะเล่นน้ำทะเล ให้หายร้อนกัน สรุปแล้ววันนี้ทั้งวัน เดินทางหลายกิโล ทั้งทางบกและทางน้ำ ถึงจะเหนื่อยล้าจากการเดินทางบ้าง แต่ได้ความสุข ความประทับใจมาจนล้นปรี่ ที่นี่ประเทศไทย ไม่ไปไม่ได้แล้ว ใครที่พอมีเวลาว่าง ลองไปเที่ยวกันดูนะครับ รับรองไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอน ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ต่างชาติชอบเข้ามาเที่ยวเมืองไทย มาเที่ยวมาพักผ่อน บอกเลยไทยมีที่ท่องเที่ยที่สวยที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ในความคิดของผมนะ มาลองเที่ยวดูแล้วคุณ จะรักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น สวัสดี ภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย : จุง ชาวไร่