วงเวียนแห่งความตาย(Circle of the Death) นับจาก Sir Alexander Chapman Ferguson ได้วางมือจากการกุมบังเหียนทีมปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปเมื่อปี 2013 พลพรรค Red Army ก็มีแต่ สาระวันเตี้ยลง เตี้ยลง ทุกที และท้ายที่สุด ทัพปีศาจแดง ก็ได้เดินทางเข้าสู่ Circle of the Death หรือ วงเวียนแห่งความตาย อย่างเต็มภาคภูมิ Photo:nbostanova:https://pixabay.com/images/id-1606476/ ถ้านึกภาพไม่ออก ว่าวงเวียนนี้มันเป็นอย่างไร ให้นึกถึงทีม ลิเวอร์พูล ยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่มากบนเกาะอังกฤษ คว้าแชมป์เป็นว่าเล่น แชมป์แล้วแชมปํเล่า ปีแล้วปีเล่า ตั้งแต่ฤดูกาล 1900-01 จนถึง ฤดูกาล 1989-90 รวมทั้งสิ้นเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีกทั้งหมด 18 สมัย เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ไร้เทียมทานจริง ๆ Photo:joronohttps://pixabay.com/images/id-2698969/ แต่แล้ว จากทีมที่ยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นทีมที่เดินเข้าสู่วงเวียนแห่งความตาย( Circle of the Death) อย่างเต็มตัว หลังจากที่เคนนี่ ดัลกลิช วางมือไปลิเวอร์พูล ก็เข้าสู่ยุค ซบเซา เพราะถึงจะได้แชมป์ถ้วยอื่น ๆ อยู่บ้าง แต่ถ้วยใหญ่ที่สร้างความรักความศรัทธาให้เหล่าแฟนบอล อย่างถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้กลายเป็นเส้นขนานกับทีมลิเวอร์พูลไปเสียแล้ว นับจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็ไม่สามารถ สะกดคำว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกเลย ทำได้เพียงวนเป็นวงเวียน บางฤดูกาลทำคะแนนขึ้นไปอยู่แถวบนของตารางคะแนน แล้วก็ร่วงลงมาอยู่ตรงกลางตารางคะแนน วนเป็นวงเวียนแบบนี้ วนไปวนมา ซ้ำไปซ้ำมา ฤดูกาลแล้วฤดูกาลเล่า ไม่สามารถถีบตัวเองให้หลุดออกจากวงเวียนแห่งความตายจนไปสู่คำว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เลยแม้แต่สมัยเดียว ลิเวอร์พูลเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงเวียนแห่งความตาย (Circle of the Death) นานถึง 29 ปี ก็ยังควานหาทางออกหรือคำว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกไม่เจอสักที แต่จนแล้วจนรอด วันที่แฟน ๆ เดอะค็อป รอคอยมาอย่างยาวนานก็ได้เดินทางมาถึง เมื่อลิเวอร์พูลสามารถถีบตัวเองให้หลุดพ้นจาก วงเวียนแห่งความตาย (Circle of the Death) ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากฝีไม้ลายมือของชายที่ชื่อว่า Jurgen Klopp ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้แชมปํพรีเมียร์ลีก แต่จากฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยม รวมถึงอันดับในตารางคะแนนที่นำคู่แข่งห่างเสียจนแทบมองไม่เห็นฝุ่นแบบนี้ แฟนบอลก็คงจะพอมองออกว่า ถึงเวลาของลิเวอร์พูล ที่จะหลุดพ้นจากวงเวียนแห่งความตายนี้เสียที Photo:anwo00https://pixabay.com/images/id-1275557/ เมื่อหลายฤดูกาลที่ผ่านมา ตอนที่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ยังมีท่านเซอร์กุมบังเหียนอยู่ มีแฟนลิเวอร์พูลรายหนึ่ง กล่าวเอาไว้ว่า "รอให้ Sir Alex วางมือก่อนเถอะ แล้วเอ็งจะเข้าใจหัวอกของเด็ก ลิเวอร์พูลอย่างข้า" บอกตามตรงว่าตอนนั้น รู้สึกเฉย ๆ เพราะขณะนั้น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เถลิงความยิ่งใหญ่ปีแล้วปีเล่า คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ฤดูกาลแล้วฤดูกาลเล่าไม่มีทีท่าว่าทีมจะตกต่ำเลย แต่ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ดั่งคำพระท่านได้สอนไว้ฉันใด วันชื่นคืนสุขของเหล่า ปีศาจแดงก็เป็นเพียงเรื่องชั่วคราวฉันนั้น หลังจากท่าน Sir Alex Ferguson วางมือไป ท้องฟ้าเหนือสนามโอล์แทรฟฟอร์ด กลับกลายเป็นท้องฟ้าสีหม่นในบัดดล ไม่ว่าจะเป็น เดวิด มอย ,หลุย ฟาลกัล,มูรินโญ่,หรือแม้แต่ โซลชาเอง ก็ยังไม่สามารถนำพา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ให้กลับออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ภายใต้แสงแดดสีเหลืองทองอันอบอุ่นแห่งรุ่งอรุณของยามเช้าได้อีกเลยแม้แต่น้อย Photo:karinasetiawan https://pixabay.com/images/id-1656122/ มีเพียงเหตุผลเดียวที่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จะสลัดหลุดพ้นจากวงเวียนแห่งความตายนี้ได้ก็คือ ควานหาคนที่ใช่มากุมบังเหียน กอบกู้สถานการณ์ของทีมให้กลับมายืนอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นให้ได้อีกครั้ง เพื่อให้หลุดพ้นจาก วงเวียนแห่งความตาย(Circle of the Death) ให้ได้โดยพลัน ไม่เช่นนั้นแล้วล่ะก็ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก็จะเวียนว่ายตายเกิด วนเป็นวงกลมอยู่ในวงเวียนแห่งความตายนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปีแล้วปีเล่า ฤดูกาลแล้วฤดูกาลเล่า ต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีทางหลุดพ้นได้เลย.