หลังจากมีประกาศจากหน่วยงานภาครัฐออกมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ว่าจะให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า และประชาชน ฉีดวัคซีนสูตรผสม สำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกเป็นยี่ห้อ ซิโนแวค Sinovac และสำหรับผู้ที่ ยังไม่ได้ฉีดเข็มที่สอง จะให้เข็มที่สองเป็นวัคซีนยี่ห้อ แอสตราเซนเนก้า AstraZeneca โดยต้องมีระยะการรับวัคซีนอย่างน้อย 3 - 4 สัปดาห์ เพื่อจะได้กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้สูงและมีประสิทธิภาพยิ่งขี้นนั้น ทำให้ผมและเพื่อน ๆ สงสัยและกลัวกันว่าจะเป็นอันตราย หรือมันเสี่ยงต่อร่างกายคนเราขนาดไหน ทำไมถึงต้องมี "วัคซีนแบบผสม" นี้ขี้นมา จากการหาข้อมูลของผมมานะครับ พบว่า ในประเทศไทยเราในตอนนี้ ได้พบสายพันธุ์เดลตาพลัสขึ้นมาใหม่อีกสายพันธุ์ และการระบาดอย่างรุนแรง ทำให้เชื้อสายพันธุ์เดลตาพลัส สามารถติดกันง่ายมากขึ้น และอาจจะกระจายไปจนรับมือกันได้ยาก ดังนั้น เพื่อที่จะลดความเสี่ยงและลดความเสียหายต่อชีวิต หน่วยงานภาครัฐจึงหาวิธีการป้องกันเชื้อโควิด-19 และทุกสายพันธุ์ในตอนนี้ จึงมีแนวคิดวิธีการ "ฉีดวัคซีนแบบผสม" ขึ้นมา เพื่อที่จะได้กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาพลัส และอื่น ๆ ที่ระบาดอย่างหนักในช่วงนี้ แต่จากข้อมูลล่าสุดที่ทางหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาประกาศเตือนว่า ถ้าฉีดวัคซีนสลับยี่ห้อ หรือสูตรผสม นั้น จะมีแนวโน้มทำให้เกิดความเสี่ยงต่อร่างกายสูง และอาจจะเกิดผลข้างเคียง เพราะยังไม่มีแนวทางและการศีกษาที่ดีมากนัก จึงควรเลี่ยงการฉีดวัคซีนสูตรผสมกัน ที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายมากขึ้น โดยหลังจากการประกาศเตือนจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) นั้น จึงทำให้ผมและเพื่อนๆ สับสนและสงสัยกันว่า ทำไมหน่วยงานภาครัฐยังมีมติให้ฉีดวัคซีนสูตรผสมกัน ที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อร่างกายคนเราได้ แต่ผมก็ได้ติดตามข่าวและหาข้อมูลเพิ่มเติมอีก จึงได้คำตอบว่าในตอนนี้หน่วยงานภาครัฐได้ออกประกาศระงับการฉีดวัคซีนสูตรผสมแล้ว โดยจะยึดข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นหลัก จึงเป็นคำตอบได้ว่า การฉีดวัคซีนแบบสูตรผสม เป็นอันตรายต่อร่างกายและสุขภาพ แน่นอนครับ จากนั้นผมก็ลองหาข้อมูลความแตกต่างของ วัคซีนซิโนแวค (Sinovac) กับ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) วัคซีนโควิดซิโนแวค (Sinovac) ที่ประเทศไทยนำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นหลักนั้น เป็นการใช้เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนแบบเชื้อตาย (Inactivated Vaccine) ซึ่งคล้ายกับการผลิตวัคซีนตับอักเสบเอและวัคซีนโปลิโอชนิดฉีด แต่การผลิตนี้แตกต่างจากวัคซีนโควิดแอสตราเซเนก้า แต่จากข้อมูลห้องทดลองประสิทธิภาพของวัคซีนมีเปอร์เซ็นช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อสู้กับสายพันธุ์เดลตาพลัสค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับวัคซีนยี่ห้ออื่น และไม่เป็นที่นิยมในหลายประเทศ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) มีขบวนการผลิตโดยใช้เชื้อไวรัสอดิโน่ (Adenovirus) มาดัดแปลงพันธุกรรมให้มีโปรตีนโคโรนาไวรัส โดยจะช่วยให้ร่างกายมนุษย์สร้างภูมิคุ้มกันโคโรนาไวรัสได้ จากข้อมูลอ้างว่าเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ซึ่งประเทศไทยเราก็ยังใช้ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนหลัก ๆ ในการฉีด โดยส่วนตัวผู้เขียนเองตอนนี้ยังไม่ได้รับวัคซีนยี่ห้อใดเลยครับ แต่ได้ทำการลงทะเบียนรับวัคซีนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไว้แล้วแต่ล่าสุดที่ทำงานได้ติดต่อมาให้เข้ารับวัคซีน แต่วันเวลายังไม่ได้ระบุ เดี๋ยวผมจะมาอัปเดตอีกทีนะครับ ผมคิดว่าการรับรับวัคซีนยี่ห้อใดในตอนนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีและประโยชน์ต่อร่างกายเรามากๆ ครับ ถึงแม้การรับวัคซีนที่มีประสิทธิต่างกัน อย่างน้อยก็ยังช่วยให้ตัวเราได้รับผลกระทบน้อยลงนะครับ สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณผู้ที่เข้ามาศึกษาหาข้อมูลอาจจะเป็นประโยชน์ในช่วงที่คนส่วนใหญ่อยู่บ้าน WFH กัน และผมขอให้ทุกคนปลอดภัยจากเชื้อโควิด 19 และได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด 19 ที่ดีนะครับ ขอบคุณครับ บทความ : J. ภาพหน้าปกและการจัดองค์ประกอบ ภาพ 1 : www.canva.com ภาพประกอบเนื้อหา ภาพที่ 2 : pixabay / Elf-Moondance ภาพประกอบเนื้อหา ภาพที่ 3 : unsplash / Mufid Majnun ภาพประกอบเนื้อหา ภาพที่ 4 : unsplash / Mika Baumeister Hire ภาพประกอบเนื้อหา ภาพที่ 5 : unsplash / Mark Fletcher-Brown ข้อมูลอ้างอิง : กรมควบคุมโรค :https://ddc.moph.go.th ข้อมูลอ้างอิง : twitter World Health Organization (WHO) : https://twitter.com/WHO ข้อมูลอ้างอิง : โรงพยาบาลพระราม 9 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !