สวัสดีครับท่านผู้อ่านทั้งหลายวันนี้ผู้เขียนมีเรื่องของวัดดี ๆ อีกแห่งหนึ่งที่อยากจะนำเสนอท่านนักเที่ยวสายบุญทั้งหลายซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าวัดนี้เป็นอีกวัดหนึ่งที่ผู้เขียนเชื่อว่าหลายท่านคงเคยผ่านไป ผ่านมาแต่ไม่เคยแวะเอาหละครับมาดูกันว่าวัดที่ว่านี้อยู่ที่ไหน และมีอะไรน่าสนใจบ้าง วัดที่ผู้เขียนอยากนำเสนอนี้ชื่อว่าวัด “วัดดอนศรีสะอาด” ตั้งอยู่ที่ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ การเดินทางไม่ยากครับหากมาจากตัวอำเภอเชียงดาวจะพบกับวัดดังกล่าวอยู่ทางด้านซ้ายมือติดถนน (สังเกตไม่ยากครับตามชื่อ ขึ้นเนิน (ดอน) มาเล็กน้อยก็เห็นพระเจดีย์สีทองประดิษฐานเด่นสง่านั่นหละครับถึงแล้ว...) มาดูกันครับว่าแต่ละจุดมีอะไรน่าสนใจบ้าง จุดที่หนึ่ง อนุสาวรีย์รูปเหมือนหมอกชีวกโกมารภัจจ์ เป็นรูปปั้นมีลักษณะเหมือนคนแก่นุ่งห่มผ้าขาวหน้าตายิ้มแย้ม ผู้เขียนทราบว่า ในพระไตรปิฎกได้มีบันทึกผลงานการรักษาโรคของหมอชีวกโกมารภัจจ์ครั้งสำคัญๆ หลายครั้ง ได้แก่ การรักษาเศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ ซึ่งป่วยเป็นโรคปวดศีรษะเรื้อรัง ด้วยการผ่าตัดที่ศีรษะ การผ่าตัดรักษาโรคลำไส้ขอดของลูกเศรษฐี ชาวกรุงพาราณสี การรักษาพระโรคผอมเหลือง ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต (ผู้ครองกรุงอุชเชนี) การผ่าตัดบาดแผลที่พระบาท ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเกิดจากพระเทวทัตกลิ้งหินให้ทับพระองค์ และสะเก็ดหินแตกมาถูก ทำให้ห้อพระโลหิต เป็นต้น และที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทราบคนที่เรียนแพทย์แผนไทยจะให้ความเคารพท่านมากเพราะถือว่าท่านเป็นบรมครูก็ว่าได้เลยทีเดียว... จุดที่สอง จะพบกับพระวิหารประจำวัดครับ สำหรับพระวิหารนี้ชาวพุทธเราใช้เป็นที่สำหรับประกอบกิจกรรมทางศาสนาไม่ว่าจะเป็นช่วงเทศกาล งานบุญต่าง ๆ หรือแม้แต่กระทั่งการบวชสามเณรก็จะมีการประกอบพิธีในพระวิหาร (ต่างกับอุปสมบท เพราะจะทำกันที่พระอุโบสถเท่านั้น) นอกจากนี้ในสมัยก่อนพระวิหารยังเป็นแหล่งชุมนุมของชาวบ้านหากเมื่อมีเรื่องที่ต้องปรึกษากิจการอื่น ๆ ภายในหมู่บ้านหรือชุมชน และจุดสะดุดตาอีกจุดหนึ่งคือหน้าพระวิหารจะมีเศียรพญานาคสีทองสองตนขนาดทางขึ้นบันไดซ้าย-ขวา ชาวพุทธมีความเชื่อผูกพันกับพญานาคมาช้านานครับตามตำนานพุทธประวัติก็จะมีปรากฎบางช่วงตอน เช่น ในตอนที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ใต้ต้นศรีมหาโพธิได้เสวยวิมุตติสุขเป็นเวลา 7 วัน ก็ได้มีพญานาคนามว่าพระยามุจรินทร์นาคราช ได้แปลงกายเป็นพญานาคมาแผ่พังพานบดบังแสงแดด ปัดเป่าแมลงไม่ให้มารบกวนพระวรกายพระพุทธองค์ เป็นต้น จุดที่สาม พระเจดีย์ทอง จะมีลักษณะเป็นพระเจดีย์โขงจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ประจำโขงสวยงามมากด้านบนจะมีพระเจดีย์ทรงระฆังคว่ำสีทอง และปรายยอดจะมียอดฉัตรสีทอง ด้านหน้าพระเจดีย์จะมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์สีทอง (ผู้เขียนเรียกเองว่าหลวงพ่อยิ้มเพราะพระพักตร์ท่านยิ้มแย้มอิ่มเอิบ) เมื่อมาถึงแล้วอย่าลืมเข้ามากราบขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่าน และครอบครัวนะครับ จุดที่สี่ ศาลาพระพุทธรูปปางไสยาสน์จะเป็นพระพุทธรูปองค์สีทองอยู่ในปางไสยาสน์ เสริมความรู้นิดหนึ่งครับ..ท่านสังเกตหรือไม่ว่าพระพุทธรูปปางไสยาสน์กับปางปรินิพพานต่างกันอย่างไร...อย่าเพิ่งงงครับอย่างนี้ครับ คือว่าหากเป็นปางไสยาสน์ดูที่พระหัตถ์จะตั้งฉากครับซึ่งใช้ค้ำยันพระเศียรแต่ถ้าเป็นปางปรินิพพานพระหัตถ์จะเหยียดเรียบขนานกับพื้นครับ...อันนี้จุดสังเกตง่าย ๆ เมื่อขึ้นมบนศาลาแล้วก็อย่าช้าครับ...มากราบขอพรกันได้เลย... จุดที่ห้า หอระฆังเป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนาผสมผสานไทยภาคกลาง สวยงามมากด้านยอดสุดจะะมีฉัตรสีทองประดับสวยงามมาก สำหรับระฆังนี้จะใช้ตีบอกสัญญาณ บอกเวลาในการปฏิบัติกิจของสงฆ์เช่น ทำวัตร-สวดมนต์ ลงอุโบสถสวดปาฏิโมกข์ หรือประกอบกิจวัตรต่าง ๆ อีกทั้งในสมัยโบราณผู้เขียนทราบว่าเมื่อมีเหตุร้ายหรือเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลจะมีการตีสัญญาณระฆังบอกเหตุหรือเรียกชุมนุมต่าง ๆ อย่าลืมนะครับถ้ามีโอกาสผ่านไปผ่านมาก็อย่าลืมแวะเข้ามากราบขอพร เข้ามาเยี่ยมชมหรือเข้ามาทำบุญได้ตามความสะดวก ขอบอกเลยว่าหากท่านพลาดแล้วจะพูดได้คำเดียวว่า เสียดายจริง ๆ เอาหละครับสำหรับวันนี้เท่านี้ก่อนนะครับ....ธรรมะสวัสดีครับ เครดิตภาพทั้งหมดจากผู้เขียน ดร.อาบแสงจันทร์ ต.