“หมอตรวจพบสิ่งที่ไม่อยากเจอเลย ที่เยื่อบุโพรงมดลูกคุณมีเซลล์มะเร็งนะคะ แต่ยังโชคดีที่ปากมดลูกยังคงเป็นเซลล์ปกติ”ตอนที่ได้ยินประโยคนี้จากปากคุณหมอ จำได้ว่าตอบไปลอย ๆ “อ๋อค่ะ” ทำให้หมอถึงกับอมยิ้ม แล้วถามกลับมาว่า “ตกใจรึเปล่าคะ มีคนไข้บางรายรับไม่ได้ถ้าผลตรวจออกมาเป็นแบบนี้” จริง ๆ ก็ตกใจ ยอมรับว่าไม่คาดคิดเลยว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้ เพราะเราเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีมาตลอด ระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ไม่น่าเข้าข่ายคนที่เสี่ยงต่อโรคนี้เลยซักนิด แต่จะตกใจนานคงไม่ช่วยอะไร เลยถามคุณหมอกลับไปว่า “ก็ตกใจค่ะ แต่อยากรู้มากกว่า ว่าต้องทำอย่างไรต่อ รักษายังไง เริ่มเมื่อไหร่ ต้องแอ็ดมิทเลยมั้ยคะ” คราวนี้คุณหมอยิ้มกว้างกว่าเดิม “หมอค่อยสบายใจหน่อยที่คนไข้ตั้งสติได้ดีแบบนี้ หมอจะอธิบายขั้นตอนการรักษาให้ฟังนะคะ” แล้วคุณหมอก็เริ่มต้นอธิบายขั้นตอนการรักษาทั้งหมดแล้วตบท้ายติดตลกว่า “คนไข้คงไม่หนีหมอไปรักษาทางไสยศาสตร์นะคะ” เป็นอันว่าเหตุการณ์วันนั้นจบลงด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทั้งคุณหมอและคนไข้ ราวกับว่าเป็นการไปรักษาไข้หวัด ย้อนกลับไป 1 สัปดาห์กว่า ๆ ก่อนหน้านั้น เราไปพบคุณหมอด้วยอาการประจำเดือนมามากผิดปกติ เรียกว่าใน1เดือนมีประจำเดือนมาปริมาณมาก ๆ 15-20 วันเลยทีเดียว คุณหมอจึงทำการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ และนัดมาฟังผลในอีก1สัปดาห์ถัดมา ด้วยความที่เราไม่กังวลเรื่องผลตรวจเลย เมื่อถึงวันนัดฟังผล เรายังโทรไปขอเลื่อนนัดคุณหมอเนื่องจากติดงานที่ต่างจังหวัด แล้วบอกว่าขอทราบผลทางโทรศัพท์เลยได้มั้ย แต่ทางโรงพยาบาลยืนยันให้เข้ามาฟังผลจากคุณหมอด้วยตัวเอง เมื่อมาถึงจึงทราบว่าทำไมต้องเข้ามาฟังด้วยตนเอง มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โดยส่วนมากคนไข้มักมาพบแพทย์ด้วยอาการ มีเลือดออกมากผิดปกติทางช่องคลอด ซึ่งไม่ใช่ประจำเดือนปกติเพราะสาเหตุหนึ่งของมะเร็งชนิดนี้มาจาก ความไม่สมดุลระหว่างฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่สามารถลอกตัวออกมาเป็นประจำเดือนได้ จนเกิดการหนาตัวผิดปกติและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด นอกจากนั้นยังมีจากสาเหตุอื่น ๆ ได้อีกหลายสาเหตุเช่น ภาวะอ้วนทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นจากเนื้อเยื่อไขมัน การรับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทนมากเกินไป ภาวะถุงน้ำรังไข่ หรือแม้กระทั่งพันธุกรรม ในความคิดของเราขณะนั้นคือ การไปนั่งกังวลกับสาเหตุที่มาของโรคคงไม่ได้ช่วยอะไร จึงสนใจที่กระบวนการรักษามากกว่า ซึ่งคุณหมออธิบายว่าในขั้นตอนแรกจะต้องทำการผ่าตัดทั้งมดลูก รังไข่และต่อมน้ำเหลืองโดยรอบออกไปให้หมด หลังจากนั้นจึงเอาชิ้นส่วนเหล่านี้ไปตรวจละเอียดอีกครั้งว่ามะเร็งอยู่ในขั้นไหน คุณหมอจึงจะทำการรักษาที่เหมาะสมต่อไปได้ว่าจะต้องฉายรังสี ฝังแร่ หรือให้เคมีบำบัดหรือไม่ นั่นหมายความว่าผ่าตัดแล้วก็ยังต้องรอผลตรวจอีกว่าจะเป็นมะเร็งขั้นไหน และรักษาอย่างไร เมื่ออธิบายมาถึงตรงนี้คุณหมอก็ถามอีกว่า มากับญาติรึเปล่า จะให้ญาติมาร่วมฟังมั้ย แล้วขับรถมาเองรึเปล่า ขับกลับไหวมั้ย ทำให้เรารับรู้ได้เลยว่าคุณหมอเองคงรับมือกับความกังวลของคนไข้และญาติที่เป็นโรคมะเร็งอยู่ตลอดเวลา แต่ตามที่บอกในตอนต้นว่าเรามาฟังผลแบบไม่คาดคิดว่าจะเป็นอะไร จึงขับรถมาเองคนเดียวตามปกติ เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วก็บอกตัวเองว่าต้องตั้งสติคุยกับคุณหมอต่อไป ในใจก็คิดว่าเป็นไงเป็นกัน ยังไงก็ต้องสู้ อีกราว ๆ 1 สัปดาห์หลังจากทราบผล เราเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน โดยคุณหมอผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งสตรี ก่อนผ่าตัดเราเตรียมความพร้อมร่างกายไปอย่างดี ดูแลสุขภาพดีกว่าเดิม กินนอนเป็นเวลา กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ ออกกำลังกายบ้าง ซึ่งมีผลดีคือร่างกายฟื้นตัวเร็วมาก ไม่เจ็บแผล ไม่มีอาการข้างเคียง เข้าผ่าตัดวันศุกร์ วันจันทร์ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว สามารถช่วยเหลือตัวเอง ลุก นั่ง เดิน อาบน้ำเองได้ และหลังจากนั้นก็แข็งแรงขึ้นตามลำดับ แต่สิ่งที่กังวล และลุ้นระทึกคือ หลังผ่าตัดและส่งชิ้นเนื้อไปตรวจอีกรอบ เราจะต้องรักษาอย่างไรต่อไป ต้องให้เคมีบำบัดหรือไม่ ช่วงนี้นับว่าเป็นช่วงที่เป็นกังวลที่สุดของการรักษาก็ว่าได้ แต่หลังจากออกจากโรงพยาบาลประมาณ 1 สัปดาห์ ผลตรวจออกมาว่า เราเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในขั้น 1 เอ ซึ่งการรักษาโดยการผ่าตัดก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องฉายรังสี หรือให้เคมีบำบัด แต่จะต้องมีการตรวจติดตามทุก 2 เดือนเป็นเวลา 1 ปี และปีต่อไปก็จะเป็นทุก 4 เดือน และ 6 เดือนตามลำดับ สิ่งที่เราค้นพบคือการรักษาไม่ได้จบลงที่กระบวนการผ่าตัด แต่การดูแลตัวเองหลังจากนั้นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการตัดมดลูก รังไข่ออกไปเท่ากับเราไม่มีโรงงานผลิตฮอร์โมน นั่นหมายความว่าเราเข้าสู่วัยทองโดยปริยาย และเนื่องจากโรคนี้ค่อนข้างไวต่อระดับความสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจน คุณหมอจึงไม่แนะนำให้รับประทานฮอร์โมนเสริม เหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่มีการตัดรังไข่ หรือเข้าสู่วัยทองตามปกติ เราจึงต้องดูแลตัวเองด้วยการรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง และออกกำลังกายเป็นประจำสัปดาห์ละ 5 วัน ซึ่งนั่นทำให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงกว่าตอนก่อนป่วย น้ำหนักลดลง เปอร์เซ็นต์ไขมันลดลง รู้สึกกระฉับกระเฉง สดใส ผิวพรรณดีขึ้น จนบางครั้งลืมไปเลยว่าอายุใกล้เลข5แล้ว จึงอยากเป็นกำลังใจให้ทั้งคนที่ป่วยอยู่ และคนที่รู้สึกว่าตัวเองอายุมากขึ้นไม่แข็งแรงเหมือนเดิม เริ่มลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง และดูแลตัวเอง ไม่มีใครบอกว่าคนป่วยต้องป่วยตลอดไป และร่างกายคนเราไม่ได้แก่เพราะอายุที่มากขึ้น แต่แก่เพราะขาดการดูแล สุขภาพดีเราเริ่มสร้างได้ทันทีเดี๋ยวนี้ อย่ารอให้ป่วยเสียก่อน ภาพประกอบทุกภาพโดยนักเขียน