จะทำอย่างไร? เมื่อฤดูหนาวนั้นแสนสั้นเหมือนถูกขโมยเวลา พอถึงคิวฝนมาน้ำก็หลากเข้าท่วมพื้นที่ให้เดือดร้อนกันหลายครัวเรือน แต่พอฤดูร้อนมาเยือนก็ร้อนจนเหมือนยืนอยู่บนเตาแพนเค้ก ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมภัยพิบัติทั้งในและต่างประเทศที่เกิดขึ้นถี่ยิบราวกับธรรมชาติพิโรธ สภาพอากาศที่แปรปรวนเหล่านี้เป็นผลผลิตจากฝีมือมนุษย์ สิ่งมีชีวิตผู้มีอารยธรรมและวงจรชีวิตที่ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้คุ้มค่ามากเกินเสียจนอาจทำลายธรรมชาติในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม มวลมนุษยชาติก็ต้องเตรียมเผชิญกับผลของการกระทำที่เราติดบัญชีกับธรรมชาติไว้นานแสนนานจนอาจยากเกินแก้ไขแล้ว สิ่งที่ทำได้มากที่สุดตอนนี้คือหาทางผ่อนหนักให้เป็นเบา ล่าสุดประเด็นเรื่อง Climate change ในงานประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ครั้งที่ 26 หรือ The 26th UN Climate Change Conference (COP26) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 12 พฤศจิกายน 2564 เป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกจับตามอง การประชุม COP26 ในครั้งนี้จะไม่ใช่เพียงแค่การเดินทางมาแสดงวิสัยทัศน์ด้านการแก้ไขปัญหา Climate change ของผู้นำแต่ละประเทศเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์หลายคนออกปากเตือนแล้วว่า หากไม่แก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนที่คาราคาซังมานานและจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้ขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2050 เราอาจต้องเผชิญกับวิกฤตโลกร้อนที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าโควิด 19 อย่างไรก็ตาม จะให้เป็นหน้าที่ของผู้นำประเทศแต่ละคนอย่างเดียว ภารกิจคงสำเร็จได้ยาก ดังนั้น โอกาสนี้เรามาส่องกันดีกว่า ว่ามีการตั้งเป้าหมายหรือภารกิจหลักจากการประชุมในครั้งที่ไว้อย่างไรบ้าง เผื่อว่าจะมีอะไรบางอย่างที่คนตัวเล็กๆ อย่างพวกเราจะพอทำได้เพื่อช่วยกันคนละเล็กละน้อย1. ควบคุมอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์อย่างจริงจัง (Net zero target) แต่ละประเทศต้องเร่งดำเนินการหาวิธีลดการใช้พลังงานจากถ่านหินและหันมาส่งเสริมพลังงานทางเลือกแทน แม้ว่าจะเป็นโจทย์หินสำหรับหลายประเทศที่ยังคงใช้พลังงานจากถ่านหินเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องคำนึงว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องหาวิธีทดแทนหรือมาตรการจัดการกับการใช้พลังงานถ่านหินอย่างจริงจังสักที นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือหยุดตัดไม้ทำลายป่า (Prevention and Control of Deforestation) อันเป็นสาเหตุให้สูญเสียปอดของโลกซึ่งช่วยฟอกอากาศให้เราไปทีละเล็กทีละน้อย และอีกอย่างหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ การส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ Electric vehicle (EV) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก่อนปี 2050 เราต้องช่วยรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสในแต่ละปี ซึ่งไม่แน่ใจว่าเราจะทำได้มากน้อยแค่ไหน 2. ผลักดันการพิทักษ์กลุ่มสิ่งมีชีวิตและแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ เราต้องร่วมมือกันผลักดัน ส่งเสริมให้กลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก climate change ให้ความสำคัญและเร่งดำเนินการฟื้นฟูระบบนิเวศตามธรรมชาติ สร้างระบบเตือนภัย มาตรการป้องกันอย่างเด็ดขาด เพื่อเลี่ยงการสูญเสียสิ่งมีชีวิต แหล่งที่อยู่อาศัย และความเป็นอยู่ของพวกเขาที่อาจทำให้ธรรมชาติเสียสมดุลไป3. ระดมทุนช่วยเหลือกลุ่มผู้เดือดร้อนอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาประเทศที่พัฒนาแล้วเคยให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจะช่วยกันระดมทุนช่วยเหลือกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหา climate change เนื่องจากมีการสำรวจมาแล้วว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนา แต่กลับเป็นประเทศกำลังพัฒนาเสียส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจาก Climate change ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์และเหตุผลหลายอย่างที่ยังทำให้ประเทศผู้ให้คำมั่นสัญญานั้นยังไม่บรรลุเป้าหมายของตน แต่ในวันนี้ ปัญหาที่ปล่อยไว้นานกำลังจะกลายเป็นแผลที่ติดเชื้อ ประเทศที่พัฒนาแล้วต้องดำเนินการอย่างจริงจังสักที เพื่อร่วมระดมทุนช่วยประเทศกำลังพัฒนาให้ได้อย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์ในทุกๆ ปี 4. เปลี่ยนนามธรรมให้เป็นรูปธรรม การหารือกันเพื่อแก้ปัญหา Climate change ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่มีมาตั้งแต่ปี 1995 แล้ว ผู้นำแต่ละประเทศต่างแสดงวิสัยทัศน์ไว้อย่างสวยงามและเชื่อว่าผู้นำแต่ละประเทศต่างดำเนินการตามมาตรการมาโดยตลอด แต่การดำเนินการเฉยๆ คงไม่พอ เพราะความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและวิถีชีวิตของมนุษย์เติบโตเร็วมาก เร็วเสียจนเราตามเก็บเศษซากของความเสียหายที่เกิดจากการพัฒนานั้นแทบไม่ทัน ดังนั้น เราอาจจะต้องใช้คำว่าเร่งดำเนินการอย่างจริงจังและเด็ดขาดให้เกิดเป็นรูปธรรมสักที ปัญหา Climate change ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนในองค์กรรักษ์โลก ไม่จำเป็นต้องเป็นอาสาสมัครเพื่อสิ่งแวดล้อม ไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมถึงจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ เราอาจเริ่มจากการประหยัดไฟ ประหยัดน้ำมัน หันมาใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่คงทนและมีอายุการใช้งานได้นานขึ้น ลดปริมาณขยะพลาสติก หรืออะไรก็ตามที่เราพิจารณาได้ว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือทำลายทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา Climate change ได้แล้ว ขอขอบคุณข้อมูลประกอบบทความCOP26-Explained | ไทยรัฐออนไลน์เครดิตภาพหน้าปก: pixabay, DeSa81เครดิตภาพที่ 1: pixabay, TheDigitalArtistเครดิตภาพที่ 2: pixabay, marcinjozwiakเครดิตภาพที่ 3: pixabay, catazulเครดิตภาพที่ 4: pixabay, anncapicturesเครดิตภาพที่ 5: pixabay, Free-Photosเครดิตภาพที่ 6: pixabay, Clker-Free-Vector-Imagesเครดิตภาพที่ 7: pixabay, Mysticsartdesignเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !