ใครจะเชื่อว่าวิกฤตการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 จะมาได้ไกลถึงเพียงนี้ หากมองย้อนกลับไปเมื่อเดือนธันวาคม 2562 หลาย ๆ คนยังคงมองปัญหานี้ด้วยสายตาเมินเฉยกันอยู่เลย อาจจะคิดในใจว่าวิทยาการในโลกยุคใหม่มาไกลเกินกว่าที่โรคระบาดจะไล่ตามทัน แต่ถึงวันนี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าเราตอบโจทย์ผิดกันมาตลอด วันนี้ต่างคนต่างก็ได้แต่นั่งดูยอดตัวเลขทั้งของผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน โดยที่ไม่รู้ชะตากรรมตัวเองด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวเราเข้าให้บ้าง ประเทศไทยภายใต้พระราชกำหนดบริหารแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน คงจะเป็นสัญญาณที่บอกเราได้อย่างดีว่า วิกฤตการณ์ครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะตรงหน้าเราคนเดียวอีกต่อไปแล้ว สังคมไทยมีอะไรบางอย่างที่บอกผ่านความรู้สึกเราว่า เราต้องอยู่ร่วมกัน ช่วยเหลือกัน และเราต้องรอดไปด้วยกันให้ได้ แม้จะมีการรณรงค์ให้ Social Distancing หรือเว้นระยะห่างทางสังคมออกมา แต่แปลกที่ความรู้สึกทางใจกลับทำให้รู้สึกว่าคนไทยใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเก่า ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นทางการเมือง ปัญหาความคิดเห็นที่แตกต่างที่ผ่านมาในอดีตดูเหมือนจะค่อย ๆ จางหายไป สิ่งที่เราทุกคนมองเห็นได้ชัดในสถานการณ์ไวรัสแพร่ระบาดครั้งนี้คือ สถานที่ สถานบริการ สถานบันเทิงต่าง ๆ ต้องปิดตัวลง คนทำงานหลายคนต้องปรับชีวิตการทำงาน หลายคนต้องตกงาน ผู้คนต่างทยอยเดินทางกลับถิ่นฐาน พนักงานห้างร้านต่าง ๆ ที่ยังพอเปิดได้ ต้องใส่หน้ากากอนามัย ออกมายืนคอยต้อนรับเพื่อขายของให้กับลูกค้าด้วยความเสี่ยง ไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจ หรือเพราะสภาพเศรษฐกิจบังคับก็ตาม พวกเขาก็ยังต้องอยู่ตรงนั้น ทำหน้าที่ของตัวเองตรงนั้น เราได้เห็นท้องถนนที่มีแต่ความเงียบเหงา ไร้สุ้มเสียง ภาพคนยืนปิดป้ายร้านค้าเพื่อประกาศหยุดให้บริการ ทำให้เราได้เห็นแววตาแห่งความสิ้นหวัง วิตกกังวล และหวาดระแวง เพราะสัญชาตญาณของมนุษย์รักชีวิตตัวเองกันทั้งนั้น การแพร่ระบาดของโรคติดต่อจากเชื้อไวรัส อาจจะยิ่งเข้ามาทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจกันให้ลดน้อยลงไปจากเดิมอีก ถนนสายที่เราเคยเดินร่วมกัน คนที่เคยยืนอยู่ตรงหน้าเรา ไม่มีคำยืนยันได้เลยว่าใครติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ ด้านหนึ่งของ Social Distancing อาจทำให้คนไทยห่างเหิน และความเย็นชาต่อกัน ความสัมพันธ์ในรูปแบบเดิมจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จะมีระยะของความปลอดภัยที่เกิดขึ้นแบบที่ไม่รู้ตัว แต่ในมุมกลับกันอีกด้านหนึ่ง เรากลับได้เห็นการร่วมแรงร่วมใจกัน เห็นบุคลากรทางการแพทย์ทุ่มเททำงานกันอย่างหนัก เห็นนักพัฒนาวิจัยร่วมมือกันสร้างเทคโนโลยี แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เพื่อป้องกันทุกคนให้ห่างไกลจากเชื้อไวรัส เห็นกลุ่มจิตอาสาร่วมมือกันทำหน้ากากอนามัย และหน้ากาก Face Shield เพื่อแจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลและคนที่ขาดแคลน เห็นภาคธุรกิจร่วมกันบริจาคอุปกรณ์ต่าง ๆ เครื่องไม้เครื่องมือที่จะช่วยให้สังคมปลอดภัย ได้เห็นน้อง ๆ อาสาสมัครรับซื้อของให้กับผู้สูงอายุที่ต้องอยู่กับบ้าน ฯลฯ เราได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยได้เห็นเกิดขึ้นมากมายในสังคมไทย การดูแลตัวเอง ดูแลสังคม ด้วยการปรับพฤติกรรมส่วนตัว การใส่ใจเรื่องสุขอนามัย กินอาหารที่ปรุงสุก ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย Self Quarantine การต้องอยู่กับบ้านในช่วงแรก ๆ อาจจะเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับใครหลายคน แน่นอนว่าการออกไปไหนนอกบ้านเป็นสิทธิเสรีภาพที่ทุกคนพึงมี แต่ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบสังคมก็เป็นสิ่งที่คนไทยเข้าใจได้ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้นเกิดขึ้นแล้ว และยังมองไม่เห็นปลายทางว่าจะจบลงตรงจุดไหน ประเทศไทยในวันพรุ่งนี้ ยังต้องพบเจอกับปัญหาอีกมากมายที่รอเผชิญหน้าอยู่ ทั้งสภาพทางสังคม ผลกระทบจากเศรษฐกิจที่หนักหน่วง ปัญหาการว่างงาน สิ่งแวดล้อม อาหาร ฯลฯ Way of life ของคนไทยจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ จะต้องปรับตัวในการใช้ชีวิต ปรับพฤติกรรมกันใหม่หมด เทคโนโลยีต่าง ๆ แพลตฟอร์มใหม่ ๆ อาจเข้ามาแทนที่มากกว่าเดิม บริษัทต่าง ๆ อาจมองช่องทาง Work From Home เพิ่มมากขึ้น เลือกติดต่อสื่อสารกันผ่านทาง Social Media มากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นบทเรียนบทใหม่ที่สังคมไทยจะได้เรียนรู้ร่วมกัน ทัศนคติใหม่ มุมมองใหม่ คุณค่าใหม่ กำลังใจใหม่ และความเป็นมนุษย์จะถูกพิสูจน์กันอีกครั้ง การระบาดของไวรัสอาจจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ต้องจดจำ แต่การพลิกฟื้นกลับมาของประเทศไทยหลังจากเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนี้จะเป็นเรื่องที่น่าจดจำมากกว่า อย่างน้อยในวันนี้ ณ ขณะนี้ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการร่วมแรงร่วมใจกันของคนไทยทุกคนมีพลังมากขนาดไหน เราจะก้าวผ่านวิกฤตการณ์เลวร้ายในครั้งนี้ไปได้ไกลแค่ไหน ประเทศไทยจะกลับมาเหมือนเดิมได้หรือไม่ คำตอบอยู่ที่คนไทยทุกคน ภาพปก ภาพประกอบโดยผู้เขียน