วิถีชนบท แบบเศรษฐกิจพอเพียงด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ รวมถึงการแพร่ระบาดของโรคภัยต่าง ๆ ที่นับวันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างมากมาย ทำให้ข้าวของราคาแพงขึ้น สำหรับคนที่ทำงานต่างถิ่น อยู่ไกลบ้านก็ต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น คือต้องซื้อกินทุกอย่าง ต่างกับวิถีแบบชนบทหรือบ้านนอก พอหาพืชหาผักกินได้ บ้านใครที่พอมีพื้นที่หน่อยก็สามารถปลูกพืช ปลูกผักเพื่อไว้กินไว้ใช้โดยไม่ต้องซื้อทั้งหมดเหมือนดั่งที่ รัชกาลที่ 9 ทรงได้ให้ปรัชญาไว้ คือ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นการดำเนินชีวิตให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน มั่นคง ปลอดภัย ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่และวิวัฒนาการต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป การดำรงชีพแบบพอเพียง ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ อยู่แบบพอกิน พอใช้ ไม่เป็นหนี้เป็นสินเหมือนกับที่บ้านต่างจังหวัด พ่อแม่ก็อยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียง ทำสวนยางพาราแต่ด้วยราคายางตกต่ำก็ต้องช่วยกันประหยัด และหาอย่างอื่นทำเสริม หรือทำอย่างไรที่จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ ที่บ้านจะทีพื้นที่หน่อยก็สามารถปลูกไม้ผลได้ เช่น เงาะ มังคุด ลองกอง แก้วมังกร มะพร้าว เมื่อถึงฤดูกาลถ้ามีผลออกมาเยอะก็สามารถนำไปขายได้ แต่ถ้าหากมีน้อยก็เก็บไว้กินเอง หรือแบ่งกับเพื่อนบ้านปลูกพืชผักสวนครัว พวกข่า ตะไคร้ ใบมะครูด พริก โหรพา มะเขือ แซมๆ กับต้นไม้ใหญ่ เพื่อสามารถนำไปใช้ในการประกอบอาหารได้ประหยัดไปได้อีก รวมถึงการหากุ้ง หาหอย หาปลา จากแหล่งน้ำธรรมชาติ ในห้วย หนอง คลอง บึง โดยวิธีของพ่อแม่จะมีอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น การวางกัด การเหวี่ยงแห การดักไซ บ้างอุปกรณ์ก็ทำขึ้นมาเองโดยใช้ภูปัญญาของตนเองเพื่อหากุ้ง หาปลา แต่ก็เลือกเอาเฉพาะปลาที่มีขนาดใหญ่พอที่จะรับประทานได้ ส่วนตัวเล็ก ๆก็ปล่อยไป เพื่อจะได้มีกินอีกในคราวต่อไป ก็เรียนรู้การอนุรักษ์การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ใช้กินไปนาน ๆเชื่อไม่ว่าการเลี้ยงชีพแบบวิถีชนบทนั้นมีความสุข ผู้คนก็มีสุขภาพที่แข็งแรง โรคภัยต่าง ๆ ก็มีน้อย มลพิษต่างๆ ก็ไม่มี อยู่แบบธรรมชาติ มีกินมีใช้แบบพอเพียง เลี้ยงชีพด้วยแหล่งธรรมชาติ ไม่มีหนี้ไม่มีสิน แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว