ผู้เขียนเป็นคนอิสานโดยกำเนิด พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย แถมยังได้คู่ครองก็เป็นคนอิสานเช่นกัน ทำให้มีความผูกพันกับวิถีชีวิตชนบท ที่หลังจากเสร็จจากการทำไร่ทำนา โดยจะทำนาปีละ 1 ครั้ง เริ่มทำประมาณเดือน พฤษภาคม ถึง ธันวาคม ของทุกปี หลังจากเสร็จจากทำนา แล้วคนต่างจังหวัดหรือที่คนส่วนใหญ่ เรียก คน"ชนบท"จะหางานอื่น ๆ ที่สามารถทำได้ในท้องถิ่นตัวเอง โดยทำกันหลายอย่างการเลี้ยงสัตว์ จะเป็นอาชีพที่นิยมทำกันเป็นส่วนใหญ่ เช่น ไก่ หมู ในอดีตนอกจาก วัว ควายจะเลี้ยงเอาไว้ขาย ทำเป็นอาหารในงานบุญที่มีคนมาร่วมงานจำนวนมากแล้ว ยังเอามาไถ่นาได้ด้วย แต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมเพราะมีรถไถนา ที่ทำงานได้รวดเร็ว ไม่ต้องเหนื่อย เข้ามาแทนแรงงาน วัว ควายชนบทในอดีตยังไม่มีเตาแก็สใช้ จะใช้เศษไม้มาทำเป็นฟืนในการหุง ต้มอาหารแทน แต่ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่ จะนิยมเลื่อยเป็นท่อนพอประมาณ นำมาเผาทำเป็นถ่านเก็บไว้ใช้ได้นาน ๆ บางส่วนนำออกมาขายสร้างรายได้อีกทางผู้ชายส่วนใหญ่ถ้าว่าง จะทำการจักสานของใช้ภายในบ้านเอง โดยจะนำไม้ไผ่มาเหลาเป็นเส้นเล็ก ๆ และสานเป็นภาชนะ เช่น ตะกร้า กระด้ง ไซ สำหรับดักปลา เป็นต้น โดยจะถูกถ่ายทอดมาจากผู้เฒ่าผู้แก่ภายในหมู่บ้าน เป็นการประหยัดเงินไม่ต้องซื้อ แถมบางส่วนสามารถนำไปขาย สร้างรายได้เพิ่มในครอบครัวการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ผู้หญิงชนบทส่วนมากถ้าว่างจากการทำนา จะปลูกหม่อนเลี้ยงไหม นำเส้นไหมที่ได้จากการสาวไหมมาทอเป็นผ้าถุง ผ้าขาวม้า ผ้าโสร่ง แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน เก็บไว้ใช้เองในบ้านหรือเป็นของฝากได้ บางส่วนจะนำมาขาย ซึ่งจะได้ราคาค่อนข้างแพง ผืนละ ประมาณ 2,000 - 4,000 คนชนบทรุ่นเก่าส่วนใหญ่จะไม่นิยมออกไปทำงานนอกบ้านจะหาอาชีพทำเองภายในหมู่บ้านของตัวเอง บางอย่างเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้าน สืบทอดจากรุ่นผู้ใหญ่สู่รุ่นลูก ทำให้วิถีชีวิตแบบชนบทไม่หายไปจากสังคมไทย