สัปดาห์ก่อนผู้เขียนได้ไปเยี่ยมญาติ จึงได้โอกาสกลับมาลองใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานคร อยู่ประมาณ 2 สัปดาห์พอจะทำอาหารทานเอง ก็ยืนงงอยู่สักพักว่าจะทำอะไรดี จึงไปเดินเลือกซื้อในตลาดหรือห้างร้าน พบว่าเราถูกจำกัดเรื่องชนิดของวัตถุดิบในการทำอาหาร และไม่มีความหลากหลายมากนักเหมือนที่บ้านสวน อีกทั้งไม่ทราบแหล่งที่มาหรือกระบวนการเพาะปลูก ซึ่งก็ต้องดูจากมาตรฐานหรือสัญลักษณ์ที่รัฐได้รับรอง เป็นวิถีชีวิตที่ซับซ้อน ซึ่งจริงๆ แล้วเมื่อก่อนผู้เขียนเองก็เคยมาทำงานในกรุงเทพและตัดสินใจลาออก ลาออกครั้งสุดท้าย มาเป็นเกษตรกร เลยตั้งคำถามเชิงเปรียบเทียบกับวิถีชีวิตในท้องถิ่นของผู้เขียนในปัจจุบัน จึงอยากจะสรุปวิถีชีวิตของเกษตรกรอินทรีย์ในแบบผู้เขียนให้อ่านกิน : ใช่ครับเราต้องกิน ทันทีที่เราตื่นเราก็กิน อีก 4-5 ชั่วโมงเรากินอีกมื้อและอีกมื้อตั้งแต่ผู้เขียนมาทำเกษตรอินทรีย์ ก็เริ่มต้นจากการปลูกที่จะกิน และกินที่ปลูก ไม่ใส่สารเคมีใดๆ เพราะเราจะกินเอง ทำให้เรามีผัก ผลไม้ เครื่องเทศ ซึ่งเป็นวัตถุดิบของอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมี และเมื่อใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ หลายปีเข้า ก็มีเพื่อนและเครือข่ายเกษตรกรอินทรีย์ ก็นิยมแลกเปลี่ยนอาหารกันกิน เพราะเราไม่ได้ปลูกเหมือนกัน ก็แลกเปลี่ยนผัก ผลไม้กันกิน ผู้เขียนจึงมีวัตถุดิบอาหารที่หลากหลายและไม่ซ้ำชนิดให้บริโภค และถ้ามองให้ลึกลงไปเราก็เหมือนทาน “อาหารเป็นยา” ด้วยอีกเรื่องหนึ่งอยู่ : บ้านช่องและที่อยู่ในสวนเกษตรอินทรีย์นั้น ต้องบอกเลยว่าเมื่อเราอยู่เพื่อปลูกอาหารกินเองตามข้างต้น เราจึงทำเกษตรกรรมที่ไม่ใช้สารเคมี ทำแนวกันชนสารพิษจากข้างนอก ทำให้บ้านเรามีอากาศที่บริสุทธิ์ มีต้นไม้กรองสารพิษจากข้างนอกบนที่ดิน 18 ไร่ เราทำเกษตรผสมผสาน มีการเลี้ยงไก่ วัวและผึ้ง เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ บ่อยครั้งเราจึงได้ยินเสียง ไก่ขันเจื้อยแจ้ว วัวร้องเพลง นอกจากนี้เราแบ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ปลูกป่า จึงมีต้นไม้ใหญ่เยอะมาก เป็น ”บ้านอยู่กลางป่า ที่มีอากาศสดชื่น เงียบสงบ”คือ : ผู้เขียนพบว่าการมีชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ในกรอบของกฎต่างๆ ของสังคมระเบียบที่ทำงานหรือวัฒนธรรมครอบครัวแต่การได้ดำรงชีวิตที่ดีนั้น คือ เราสามารถเลือกได้ด้วยตนเอง ว่าจะดำรงอยู่กับช่วงเวลาสั้นๆ บนโลกนี้อย่างไร เช่น การเว้นการเบียดเบียนตนเอง ไม่ทำงานหนักเกินไป, ไม่ เบียดเบียนสังคม ไม่ทำให้ผู้คนในบ้านหรือในที่ทำงานต้องเดือดร้อน และเว้นจากการเบียดเบียนสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และจะต้องทำกันที่ขนาดเล็กๆ และจะต้องทำกันทุกคน ดังนั้น การดำรงชีวิตที่ดีจึงเป็นการ “ใช้ชีวิตอย่างมีเสรีภาพบนพื้นฐานความพอเพียง”หลังจากเกิดสถานการณ์โควิด 19 ผู้เขียนเริ่มสังเกตว่าคนไทยเรา สนใจเดินทางท่องเที่ยวและถวิลหาวิถีชีวิต "ท้องถิ่น" ซึ่งในยุคของระบบอุตสาหกรรม ทำให้คำนี้เป็นเพียงแค่เครื่องหมายทางภูมิศาสตร์ แต่ทุกวันนี้ที่เราเริ่มไปพักผ่อนในชนบทและหลายคนจะออกจากเมืองใหญ่ เพราะต้องการนิยามดั้งเดิมของชีวิตในชนบท คือ “คุณภาพ” และ “คุณค่า” ภาพถ่ายเป็นของผู้เขียนเองเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !