วิทยาศาสตร์อธิบายปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติได้อย่างไร หลายคนมีความเชื่อและความศรัทธาในเหตุการณ์ลี้ลับเหนือธรรมชาติต่างๆ เช่น การเห็นสิ่งของเคลื่อนย้ายโดยไม่มีคนย้าย การถอดจิต การเดินทางล่องหน ผี วิญญาณ คนถูกผีเข้า ร่างทรง เสียงจากหลุมศพ ปาฏิหาริย์ของคนตายแล้วคืนชีพหรือประสบการณ์ในสิ่งที่พบเจอของคนใกล้ตาย การเห็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ความเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย การล่วงรู้อนาคต จนแม้กระทั่งความเชื่อเรื่องการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว และยังมีสิ่งลี้ลับอื่นๆ อีก สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่อธิบายได้ค่อนข้างยากทางวิทยาศาสตร์ และเป็นเรื่องความละเอียดอ่อนทางจิตใจ นักวิทยาศาสตร์และนักมนุษยวิทยา พยายามอธิบายสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้ ได้มีการตีความทางวิทยาศาสตร์ไว้ในการอธิบายธรรมชาติของสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้ ประชากรโลกกว่า 85% มีการนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง มนุษย์ส่วนใหญ่หลายพันล้านคนอาจจะมีความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ สิ่งที่เชื่อนั้นอาจจะจริงแต่ก็อาจจะไม่สอดคล้องกับกฎของธรรมชาติ คาดว่าความเชื่อเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติมีมานานตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์ อาจจะมองได้ว่าเป็นความเชื่อแรกๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ มนุษย์เริ่มมีความเชื่อในสิ่งที่ไม่รู้และคิดว่านั่นเป็นสิ่งอันตรายกับการดำรงชีวิต จึงมีความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น มนุษย์ส่วนหนึ่งมีความเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย เมื่อประตูสู่โลกแห่งวิญญาณเปิดออก หลายสิ่งหลายอย่างก็เกิดขึ้นใหม่ในโลกหลังความตาย วิญญาณได้เดินทางสู่โลกหลังความตาย การกลับมายังดินแดนโลกของเราหรือถูกติดอยู่ในโลกหลังความตายนั้น และสามารถแทรกตัวอยู่ในโลกของเราผ่านการปรากฎตัว เสียง หรือการแสดงอาการอื่นๆ วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงหรือไม่ แม้ว่าจะมีการถกเถียงกันบ่อยครั้งว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ข้อถกเถียงได้ ในหลายกรณีสิ่งที่เหนือธรรมชาติก็มีความเป็นไปได้นี้ ขึ้นอยู่กับการกำหนดกลไกตามธรรมชาติของสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถทำได้และทำสำเร็จก็คือให้คำอธิบายตามกลไกธรรมชาติของเรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ในช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 19 เป็นยุคของความเชื่อเรื่องของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเป็นอย่างมาก และเป็นช่วงเวลาที่มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบ ได้มีการตั้งห้องทดลองศึกษาสิ่งเหนือธรรมชาติ สนใจแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติกับความเชื่อของมนุษย์ และได้มีการตรวจสอบไปยังข้อสงสัยเรื่องพลังจิตของมายากลของยูริ เกลเลอร์ (Uri Geller) ซึ่งเขาเป็นนักมายากล นักเล่นกลลวงตา และนักจิตวิทยา เขาโด่งดังในช่วงยุค 70 เขามีความสามารถในการใช้พลังจิตที่กล่าวอ้างว่าดัดช้อนหรือโลหะให้งอและภาพลวงตาอื่นๆ เขาใช้กลอุบายเพื่อจำลองผลกระทบของจิตและกระแสจิต จากการศึกษาและทดสอบในสภาวะที่มีการควบคุมทางวิทยาศาสตร์ พบว่าเขาอาจจะไม่ได้มีพลังจิตที่กล่าวอ้างใดๆ เลย เขาน่าจะเป็นนักมายากลที่ชาญฉลาดและมีการฝึกฝนมาอย่างดี เกมหลอกลวงและเกมจิตใจ ในปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่พูดถึงจำนวนมากสามารถแบ่งออกได้ ได้แก่ การหลอกลวงหรือชวนเชื่อ ได้มีการเปิดเผยการหลอกลวงของนักหลอกลวงหลายคน แต่จิตใจมนุษย์ก็กำลังเล่นเข้าบทบาทด้วย มีการศึกษาพบว่า ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่เข้าชมสถานที่ลึกลับมักจะเป็นไปได้มากที่มีการนำเสนอเหตุการณ์แปลกๆ หากพวกเขาได้รับคำบอกก่อนหน้านี้ว่าบ้านมีผีสิงหรือผู้เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติมีแนวโน้มเชื่อมากขึ้น เพื่ออ้างว่าโต๊ะได้เคลื่อนย้ายไปในระหว่างการติดต่อกับวิญญาณ ซึ่งแต่งเรื่องขึ้นมา ถ้าการหลอกลวงของผู้ที่เป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณกับมนุษย์บอกพวกเขาเหล่านั้น ลักษณะทางจิตเวชและความอ่อนไหวทางจิตวิญญาณ อาการประสาทหลอนมักเป็นคำอธิบายของการปรากฏตัวของผีหรือเสียงผี จากตัวเลขหนึ่ง 3% ของผู้คนประสบกับเหตุการณ์ทางจิตอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงชีวิตของพวกเขา ซึ่งอาจรวมถึงการรับรู้ทางสายตาหรือการได้ยินที่ผิดพลาด แต่ยังรวมถึงการสัมผัสด้วย มีการศึกษาพบว่า นอกจากเสียงและภาพแล้ว มักมีประสบการณ์ตอบสนองกับการสัมผัสความร้อน ความตึงเครียด หรือความเจ็บปวด และอีกการศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้ที่บอกว่าตัวเองว่าเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณมักจะแสดงลักษณะบุคคลที่เรียกว่าอารมณ์ของสมาธิอันแน่วแน่หรือฌาน แนวโน้มที่จะหมกมุ่นอยู่กับจินตนาการหรือสภาวะจิตสำนึกที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับความจริงที่ว่าคนเหล่านี้รับรู้ประสบการณ์ของตนว่าเป็นจิตวิญญาณ มากกว่าที่จะเป็นลักษณะทางจิตเวช อย่างไรก็ตาม มีรายงานอาการประสาทหลอนเป็นครั้งคราวในผู้ที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยทางจิตเวชจากสาเหตุต่างๆ รวมถึงการกระตุ้นประสาทสัมผัสมากเกินไปหรือน้อยเกินไปหรือเสียงซ้ำๆ เช่น เครื่องซักผ้า และในสถานการณ์ที่เสียความรู้สึก ภาพหลอนมักเกี่ยวข้องต่อการปรากฏตัวของผู้ที่ตายไปแล้ว อิทธิพลขององค์ประกอบภายนอกในการเดินทางไปยังชีวิตหลังความตาย ประกอบกับความผิดปกติต่างๆ เช่น อัมพาตขณะนอนหลับ มักเกี่ยวข้องกับภาพหลอน ซึ่งขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม มีการตีความว่าเป็นปีศาจหรือการที่เอเลี่ยนลักพาตัว นอกจากนี้ พิษคาร์บอนมอนอกไซด์หรือการสัมผัสกับสปอร์ของเชื้อราบางชนิดที่มีอยู่ในบ้านร้างหรือแม้แต่หนังสือเก่าและเชื่อมโยงกับภาพหลอนที่น่ากลัว และการทดลองบางอย่างยังแสดงให้เห็นว่าสิ่งเร้าทางกายภาพ เช่น คลื่นความถี่ต่ำกว่าเสียงหรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถกระตุ้นประสบการณ์ชนิดของผี โดยสรุปแล้ว วิทยาศาสตร์ไม่ได้ขาดคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ แต่แน่นอนว่าศรัทธาของผู้คนไม่มีข้อจำกัดใดๆ ภาวะที่จิตออกจากร่าง เช่น การเดินทางล่องหนหรือการถอดจิต ปาฏิหาริย์ของคนตายแล้วคืนชีพหรือประสบการณ์ในสิ่งที่พบเจอของคนใกล้ตาย การที่เข้าสู่สมาธิขั้นสูงและการถอดจิตออกจากร่าง ผู้เขียนเคยได้พบเจอประสบการณ์เกี่ยวกับคนที่อ้างว่าสามารถอดจิตออกจาร่างกายได้ เขาเล่าว่าเข้าสามารถเห็นร่างที่นั่งอยู่ระหว่างการทำสมาธิ นั่นเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่สร้างความสนใจให้กับผู้คนมากเป็นแรงดึงดูดการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้ให้ความคิดเห็นโดยอิงจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะการกระตุ้นทางสมองที่เกิดขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระตุ้นสมองด้านความรู้สึก ภาพหน้าปกโดย Gerd Altmann จาก Pixabay ภาพที่ 1 โดย Selver Učanbarlić จาก Pixabayภาพที่ 2 โดย Gerd Altmann จาก Pixabayภาพที่ 3 โดย cottonbro จาก Pexelsภาพที่ 4 โดย Gerd Altmann จาก Pixabay ภาพที่ 5 โดย Gerd Altmann จาก Pixabay ชวนแต่งแฟนซี หลอน สวย เซ็กซี่หรือสร้างสรรค์ ถ่ายภาพหรือวิดีโอ แล้วโพสต์ที่ TrueID Community ห้อง "13 สยองขวัญ"สำหรับผู้ที่ยอดกดไลค์สูงสุด 5 อันดับแรกอันดับที่1 : (ต้องมียอดไลค์เกิน 150 ไลค์) เงินรางวัล 3,000 บาทอันดับที่ 2-5: (ต้องมียอดไลค์เกิน 50 ไลค์) เงินรางวัล รางวัลละ 1,000 บาท (รวม 4 ท่าน 4,000 บาท)STAR COVER ส่งภาพเข้ามาได้ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 65 ถึง 3 พฤศจิกายน 65***