ภาพปกจากผู้เขียนภาพถ่ายโดย ผู้เขียน“การชำหน่อ” นั้นถือเป็นหนึ่งในวิธีการขยายพันธุ์แคคตัส ที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้เพราะว่ามันเป็นวิธีการที่ง่ายมากๆเพียงแค่คุณเด็ดหน่อแคคตัสที่มีความสมบูรณ์ออกมาแล้วก็จิ้มลงไปในดิน เพียงเท่านี้คุณก็จะได้แคคตัสต้นใหม่ที่ค่อยๆเจริญเติบโตออกมากลายเป็นแคคตัสต้นใหญ่ ซึ่งหลังจากนั้นเราก็สามารถนำหน่อจากแคคตัสต้นใหม่ที่ได้ไปทำการชำหน่อด้วยวิธีการเดียวกันแบบนี้ไปเรื่อยๆไม่รู้จบ เพราะฉะนั้นเพียงแค่คุณมีแคคตัสเพียงแค่ต้นเดียวคุณก็จะได้แคคตัสอีกมากมายหลายต้นตามมาแล้วละค่ะ แต่ว่าไม่ใช่หน่อทุกอันที่จะสามารถนำไปชำได้ วันนี้เราจึงจะมาแนะนำเทคนิคดีๆในการเลือกหน่อแคคตัส แล้วก็วิธีการลงมือชำหน่อยังไงให้สำเร็จ เอาละค่ะมาเริ่มกันเลยดีกว่าก่อนอื่นเลยนะคะเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าหน่อของแคคตัสแต่ละสายพันธุ์นั้นจะมีความยากง่ายในการให้รากที่แตกต่างกันไป บางสายพันธุ์ไม่ต้องทำอะไรเลยแค่เด็ดออกมาแล้วก็วางไว้วางทิ้งไว้เฉย ๆ เพียงไม่นานเขาก็จะงอกรากออกมาได้เอง ตัวอย่างเช่นสายพันธุ์โลบิเวีย ยิมโนแม่ลูกดก แต่ในขณะเดียวกันก็มีแคคตัสอีกหลากหลายสายพันธุ์ที่ต่อให้เราจะลงมือชำด้วยวิธีการที่ดีแค่ไหน หรือไม่ว่าเราจะดูแลเอาใจใส่สักเพียงใด แต่โอกาสที่เขาจะให้รากนั้นกลับน้อยมากๆเลย จนบางทีก็อาจจะทำให้เรารู้สึกท้อใจได้ว่าเราทำผิดพลาดในขั้นตอนไหนไปหรือไม่ ดังนั้น สำหรับคนที่เป็นมือใหม่หัดชำหน่อ เราจะขอแนะนำวิธีการดังนี้ค่ะภาพถ่ายโดย ผู้เขียนขั้นตอนที่ 1 การเลือกหน่อที่จะนำมาชำควรเลือกหน่อที่ชำง่าย ๆ มาลองชำดูก่อน อย่างเช่น สายพันธุ์โลบิเวีย ดาวล้อมเดือน ยิมโนแม่ลูกดก หรือหากเลือกแคคตัสสายพันธุ์ที่มีขนรอบลำต้นค่อนข้างเยอะรวมถึงขนที่ก้นหน่อด้วย ก็ให้ดึงเอาขนที่ก้นหน่อออกไปก่อนที่จะลงมือชำเพราะเส้นขนเหล่านี้มักจะเป็นอุปสรรคที่ทำให้รากมายากขึ้นส่วนหน่อที่ไม่สามารถนำมาชำได้ก็ได้แก่พวกยิมโนหัวสีต่าง ๆ ที่มีหัวเป็นสีเหลือง สีชมพู หรือสีแดงทั้งหัว ยิมโนหัวสีเหล่านี้จะไม่มีสารที่เรียกว่าคลอโรฟิลล์อยู่ในตัว ดังนั้นเขาจะไม่สามารถหาอาหารหรือว่าสร้างอาหารเองได้จึงจำเป็นต้องขยายพันธุ์ด้วยการกราฟต์เท่านั้น ส่วนหน่ออีกชนิดที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าล่อรากมายากเหลือเกินก็คือหน่อยิมโนมัลติคัลเลอร์ค่ะ คนส่วนใหญ่จึงนิยมขยายพันธุ์ยิมโนมัลติคัลเลอร์ด้วยการกราฟต์กันมากกว่า เนื่องจากบางทีเด็ดมา 10 นอนชำไปชำมาเหลือรอดจริง ๆ อาจจะไม่ถึงครึ่ง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย ทั้งความสมบูรณ์ของหน่อเอง หรืออาจเกิดจากเทคนิคของแต่ละคนด้วยนอกจากนี้เราควรเลือกหน่อที่มีลักษณะเหมาะสมแก่การชำ ยกตัวอย่างเช่น หน่อที่มีความอวบอ้วนพอสมควร ไม่แห้งไม่อ่อนจนเกินไป เพราะหากหากเราเด็ดหน่อที่อ่อนมาก ๆ เพิ่งงอกออกจากต้นแม่ได้ไม่ทันไรยังไม่ทันจะสะสมอาหารในหน่อได้เท่าไหร่เลยก็ถูกเด็ดออกมาแล้ว หน่อพวกนี้มักจะเหี่ยวแห้งไปก่อนที่จะงอกรากสำเร็จ เพราะเขาไม่ได้มีพลังงานที่สามารถดึงออกมาสร้างเป็นรากได้ แต่บางหน่อที่มีขนาดใหญ่มากจนเกินไปก็อาจจะทำการล่อรากได้ยากเหมือนกันเพราะด้วยความที่ในตัวหน่อมีสารอาหารต่าง ๆ สะสมไว้มาก เขาจึงขี้เกียจอาหารเอง เวลาเราวางล่อรากไปเขาก็จะยังเฉยๆไม่ได้รับผลกระทบอะไรเพราะถึงแม้ว่าฉันไม่มีรากออกมาหากินเองฉันก็สามารถใช้อาหารที่อยู่ภายในตัวต่อไปได้นะคะภาพถ่ายโดย ผู้เขียนขั้นตอนที่ 2 เด็ดหน่ออย่าให้เป็นแผลหลังจากที่เราเลือกหน่อที่อยากชำได้แล้ว ก็ให้ลงมือเด็ดออกมาได้เลย ถ้าหน่ออันไหนที่มันเด็กออกมายากก็ให้ใช้วิธีการหมุนแล้วดึงออก หรืออาจจะใช้มีดช่วยตัดก็ได้เพื่อไม่ให้มันเกิดแผลตรงก้นหน่อ เพราะหากตรงก้นหน่อมีรอยแผลแผลแล้วเราเอาไปชำโดยที่แผลยังไม่แห้ง โอกาสที่ความชื้นหรือเชื้อโรคสกปรกจะเข้าไปสะสมผ่านรอยแผลแล้วทำให้หน่อเน่าก็จะมีมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องเล่นเด็ดหน่อออกมาด้วยวิธีการใดก็ได้ที่จะเกิดบาดแผลตรงก้นหน่อน้อยที่สุดขั้นตอนที่ 3 เตรียมหน่อให้พร้อมหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ขั้นตอนถัดมาก็คือการทายาหรือทาผงเร่งรากนั่นเอง ในขั้นตอนนี้หากใครไม่มีผงเร่งราก ก็ไม่เป็นไรนะคะ สามารถข้ามไปขั้นตอนต่อไปได้เลย การทายาเร่งรากนั้นจะช่วยให้รากมาง่ายขึ้น แต่การไม่ทาก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้รากไม่มา เพราะว่ามันก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัยด้วย และหลังจากที่เราทายาเร่งรากเสร็จแล้วเราก็ให้เราวางหน่อทิ้งไว้สักระยะหนึ่งเนื่องอาจจะ 3 วัน 5 วัน 7 วันขึ้นอยู่กับว่ารอยแผลที่ก้นหน่อนั้นมีมากน้อยแค่ไหน หากลองสังเกตดูแล้วพบว่าแผลแห้งสนิทแล้วก็แปลว่าหน่อที่เตรียมไว้นั้นพร้อมที่จะนำไปลงชำได้เลยภาพถ่ายโดย ผู้เขียนขั้นตอนที่ 4 ล่อรากคำว่าล่อนั้นก็มาจากคำว่าหลอกล่อ พอมาเป็นคำว่าล่อราก จึงหมายถึงการใช้วิธีการใดได้เพื่อทำให้หน่อนั้นมีรากงอกออกมา เพราะว่าหน่อขณะที่ยังติดอยู่กับต้นแม่สิ่งที่ทำให้เขาเติบโตได้ก็คือสารอาหารและน้ำเลี้ยงจากต้นแม่ พอเขาจะต้องลองหากินด้วยตัวเองเขาก็จะเกิดความงงเล็กน้อยว่าจะต้องทำยังไงต่อไปดี ซึ่งตรงนี้มันก็จะเป็นจุดวัดว่าถ้าหน่อไหนที่เขามีความพร้อมมีความแข็งแรงสมบูรณ์พร้อมที่จะเติบโตเป็นแคคตัสต้นใหม่ต่อไปได้จริง ๆ เขาก็จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคแล้วก็งอกรากออกมาสำเร็จจนได้ดินที่ใช้ในการล่อรากนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะเลือกใช้อะไร บางคนก็จะนิยมล่อรากด้วยหินภูเขา หรืออาจจะใช้ดินญี่ปุ่น หรือดินปลูกอะไรก็ได้ แต่สิ่งสำคัญของการล่อรากก็คือต้องรักษาระดับความชื้นที่ก้นหน่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพราะความชื้นนั้นจะช่วยกระตุ้นให้รากมาง่ายขึ้น ถ้าความชื้นน้อยเกินไปก็จะทำให้โอกาสให้รากนั้นยากขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามหากมีความชื้นสะสมมากเกินไปก็จะทำให้ความชื้นแทรกซึมไปตามรอยแผลที่ก้นหน่อได้ และถึงแม้ว่ารอยแผลนั้นอาจจะแห้งไปแล้วแต่หากโดนความชื้นมาก ๆ ก็อาจทำให้หน่อเกิดการเน่าขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องควบคุมความชื้นให้เหมาะสมอยู่เสมอ และในระหว่างที่ทำการล่อรากขณะที่รากยังไม่มาก็จะทำให้หน่อแคคตัสน้อย ๆ ของเราหยุดชะงักการเจริญเติบโตหรือเหี่ยวไปบ้างเล็กน้อยเนื่องจากยังไม่สามารถหาน้ำและอาหารเองได้ภาพถ่ายโดย ผู้เขียนวิธีการควบคุมความชื้นขณะทำการล่อรากการชำหน่อนั้นจะสามารถแบ่งได้เป็น 2 วิธีตามลักษณะการควบคุมความชื้นคือ การชำหน่อในระบบเปิด และ ระบบปิด การชำในระบบเปิด คือการเอาหน่อวางบนหินล่อรากโดยไม่ต้องปิดฝาหรือใส่ถุงพลาสติกครอบไว้ ดังนั้นเราจึงต้องคอยสังเกตในแต่ละวันว่าหน่อได้รับความชื้นเพียงพอหรือไม่ มีความชื้นระเหยออกไปมากน้อยแค่ไหน หากพบว่าหินล่อรากเริ่มแห้งก็ต้องคอยรดน้ำลงไปเพิ่มกับอีกวิธีหนึ่งก็คือการล่อรากในระบบปิด วิธีนี้หลังจากที่เราจัดวางหน่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้สร้างระบบปิดเพื่อป้องกันความชื้นระเหยออก คือจะนำกระถางที่ชำหน่อไปใส่ในถุงหรือกล่องพลาสติกแบบมีฝ่าปิดไว้ ความชื้นก็จะยังคงอยู่ในกระถางตลอดเวลา วิธีนี้จึงค่อนข้างสะดวกสบายตรงที่ว่าเราไม่ต้องมานั่งคอยรดน้ำลงไปบนหินล่อรากทุกวัน แต่ก็ต้องระวังอย่าให้หน่อได้รับความชื้นมากจนเกินไปเพราะอาจทำให้หน่อเน่าซึ่งหากจะถามว่าการชำหน่อทั้งสองวิธีนี้วิธีไหนจะดีกว่ากันก็ต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับความสะดวกในการดูแล ถ้าคุณเป็นคนที่ขี้เกียจรถน้ำบ่อย ๆ ก็ควรเลือกเป็นระบบปิด แต่หากเกิดคุณมีเวลาดูแลและไม่อยากให้หน่อเน่าจากการสัมผัสกับความชื้นในระบบปิดแบบตลอดเวลาก็ควรเลือกชำแบบระบบเปิด หรือหากใครอยากจะลองฝึกฝนเทคนิคการชำหน่อแบบต่าง ๆ ก็สามารถทดลองชำหน่อทั้งสองวิธีไปพร้อม ๆ กันเลยก็ได้ภาพถ่ายโดย ผู้เขียนขั้นตอนที่ 5 สังเกตการณ์ในระหว่างที่ทำการชำหน่อนั้นเราจะต้องคอยสังเกตอยู่เรื่อย ๆ ว่าหน่อที่เราเด็ดมาชำยังอยู่ในสภาพปกติดีหรือไม่ หากสังเกตเห็นหน่อเริ่มมีลักษณะแห้งจนเริ่มกรอบก็แสดงว่าหน่อนั้นเสียแล้วให้ตัดใจทิ้งไปได้เลย หรือหากเราลองจับดูแล้วพบว่าหน่อนิ่มยุบลงไปก็แสดงว่าหน่อเริ่มเน่า ซึ่งหากรอเน่านั้นยังไม่เยอะเราก็สามารถจะช่วยเหลือเขาได้ด้วยการตัดเอารอยเน่าทิ้งไปให้หมดจนเหลือแต่เนื้อขาว ๆ แล้วก็นำไปกราฟต์ต่อ แต่ถ้าเราไม่กราฟต์แล้วปล่อยทิ้งไว้ แผลเน่าก็จะจะลุกลามเข้าไปเรื่อย ๆ จนทำให้หน่อเน่าไปในที่สุดภาพถ่ายโดย ผู้เขียนขั้นตอนที่ 6 การนำหน่อที่ล่อรากสำเร็จแล้วไปลงปลูกวิธีการสังเกตว่าหน่อที่เรานำมาล่อรากนั้นเจริญเติบโตไปมากน้อยแค่ไหนโดยที่เราไม่อยากยกหน่อขึ้นมาดูบ่อย ๆ เพราะอาจทำให้ระบบรากกระทบกระเทือน ก็คือการสังเกตที่หัวว่ามีหนามเล็ก ๆ อันใหม่งอกออกมาหรือไม่ หรือที่หัวเริ่มแบบมีผิวสีเขียวอ่อนออกมาหรือไม่ เพราะหากเขามันมีการเจริญเติบโตเขาก็จะค่อย ๆ ขยายขนาดขั้นเป็นผิวสีเขียวอ่อนให้เราได้เห็น หรืออาจจะลองขยับหน่อเบา ๆ เบา ๆ หากพบว่าหน่อนั้นเริ่มติดแน่นแข็งอยู่กับดินหรือขยับได้ยากขึ้นก็แปลว่าเขาเริ่มมีรากออกมาแล้วหากหน่อมีรากออกมาแล้วเราก็สามารถนำไปลงปลูกได้เลย โดยใช้วิธีการเหมือนกับการปลูกแคคตัสปกติ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นวิธีการชำหน่อแคคตัสค่ะภาพถ่ายโดย ผู้เขียนและทั้งหมดนี้ก็คือเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการล่อรากแคคตัส เห็นไหมคะว่าไม่ยากเลย ดังนั้นถ้าใครสนใจแล้วก็เห็นว่าแคคตัสที่บ้านเราเริ่มมีหน่อรกรุงรังหมดจนบดบังหัวต้นแม่แล้วก็ ก็สามารถเด็ดหน่อออกมาชำดูกันได้เลยค่ะ