เวลาเราพูดถึงคำว่า “ทฤษฎี” หลายคนมักจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ตายตัว แข็งกระทื่อและไม่สามารถโอนอ่อนได้ แล้วอย่างนี้จะทำให้ทฤษฎีใหม่หรือแนวคิดการเกษตรต่างๆปรับเข้ากับสภาพภูมิสังคมของเกษตรกรหรือการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างไร กว่า 6 ปี ที่ผู้เขียนได้ออกแบบแปลงเกษตรของตนเองและดำเนินชีวิตบนแนวทางของเกษตรทฤษฎีใหม่ บนพื้นที่ 18 ไร่ จึงอยากบอกเล่าความเรียบง่ายที่ได้น้อมนำแนวพระราชดำรัสมาประยุกต์ใช้ว่าได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง30 : 30 : 30 :10น้ำ : นา : ป่า : บ้าน “น้ำ” ผมเลือกขุดสระทางทิศใต้ของพื้นที่ซึ่งติดกับทางน้ำสาธารณะ ที่มีน้ำซึมเข้ามาท้องสระตลอด สระมีขนาดบรรจุ300 ลบม. หรือประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ โดยศึกษาดูจากความต้องการใช้น้ำจากพืชในสวน ซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่แปลงผัก และน้ำในครัวเรือน ซึ่งคำนวนได้ว่าต้องใช้น้ำปริมาณ 900 ลบม. ต่อปี แต่ถึงผมจะเลือกขุดแค่ 300 ลบม. ก็มีน้ำซับจากภายนอกมาตลอด ซึ่งเพียงพอต่อการใช้สรอย ในทางทฤษฎีถ้าต้องขุดสระเก็บน้ำ 30% ของพื้นที่ ผมต้องขุดสระขนาดใหญ่กว่า 5 ไร่ หรือเท่ากับสนามฟุตบอล 11 คน อาจจะสามารถจุน้ำได้มากกว่า 8,000 ลบม. ซึ่งจะเกินความจำเป็นของตนเอง “นา” ผมเลือกทำนาที่ราบลุ่ม ทิศใต้ของพื้นที่ระหว่าง สระน้ำกับป่า ซึ่งพื้นที่ป่าอยู่บนเนินลาดชันขึ้นไปกว่า 6 เมตรหรือสูงประมาณบ้าน 2 ชั้น ซึ่งหน้าฝนจะดึงธาตุอาหารจุลินทรีย์ในป่าลงมาที่นา ทำให้นิเวศน์เกื้อกูลซึ่งกันและกันในพื้นที่ โดยที่นานั้นผมเลือกปลูกข้าวหอมมะลิ เพราะชอบทาน ซึ่งเก็บ-ต่อพันธ์ข้าวใช้เอง โดยผมทำนาเพียง 1 ไร่ครึ่ง หรือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ เพราะคำนวนการบริโภคข้าวของตนเองต่อปีประมาณ 90-100 กิโลกรัมซึ่งจากการทำนากว่า 6 ปี ได้ข้าวสารประมาณ 700 กิโลกรัม ทุกปี ซึ่งเพียงพอต่อการบริโภคในบ้าน ส่งให้พ่อแม่ และเหลือจำหน่ายอีกด้วย“ป่า” หรือสวน ประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ โดยแบ่งการจัดการเป็น 2 ระบบ ได้แก่ 1. “วนเกษตร” บนพื้ที่ประมาณ 10 ไร่ หรือประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ ปลูกป่า 9 ระดับ ไม้ 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง กว่า 120 ชนิดพันธุ์พืช พอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น ที่ผมเลือกระบบนี้เป็นหลักเพราะว่า ในช่วง 3 ปีแรก ผมได้ทดลองจัดระบบจัดการตามแนวคิดข้างต้น บนพื้นที่ 1 ไร่ สามารถลดการเติมพลังงานจากภายนอกได้ 80 -90 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งประหยัดแรงงานและทรัพยากรอย่างมาก จึงขยายผลในปีต่อๆ มา จากพื้นที่ป่า 1 ไร่ เป็น 10 ไร่ ได้จนถึงปัจจุบัน และส่วนที่ 2 คือปลูกพืชผสมผสาน ได้ไม้ผลเศรษฐกิจ พืชผักสมุนไพร ในส่วนที่เหลืออีก 15 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ “บ้าน” ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ เป็นที่อยู่อาศัยบ้านพักแบบโฮมสเตย์ โรงเรือนเก็บเครื่องมือและโรงเลี้ยงสัตว์ (วัว) จากการที่ผู้เขียนได้ประยุกต์ใช้ใหม่เป็นสัดส่วน 5 : 10 : 75 : 10 เพื่อให้เข้ากับความเป็นตนเองและบริบทพื้นที่ ด้วยความเป็นเหตุเป็นผล ผู้เขียนพบว่า “เกษตรทฤษฎีใหม่” ไม่ได้เป็นการทำเกษตรกรรมเพื่อการผลิตเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นแนวคิดในการจัดการพื้นที่อย่างคุ้มค่าเพื่อสร้างอาหารให้กับตนเองอันนำมาซึ่งความมั่นคงด้านอาหารของครอบครัว ซึ่งเรียบง่ายและเหมาะสมกับวิถีชีวิตของเกษตรกรไทยอย่างแท้จริง อยากชวนเพื่อนๆ เกษตรกร ลองพัฒนาพื้นที่ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ทีละน้อยดูนะครับ ปลูกที่กิน กินที่ปลูกก่อนก็ยังดี ถ้าชอบทานกระเพรา ก็ปลูกต้นกระเพรา พริกกระเทียม ง่ายๆ นะครับ ผู้เขียนจะคอยเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านเสมอ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๑พระราชดำรัส ณ สวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี“...ทฤษฎีใหม่ ยืดหยุ่นได้ และต้องยืดหยุ่น เหมือนชีวิตของเราทุกคนต้องมียืดหยุ่น...” จาก (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) สืบค้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม2565 : http://km.rdpb.go.th/Knowledge/View/181 ) รูปภาพทั้งหมดเป็นของผู้เขียนเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !