บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในภาพยนตร์เรื่อง The Ballad of Narayama (1983)ภาพยนตร์เรื่อง The Ballad of Narayama (1983) เป็นภาพยนตร์จากประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ ในปี1983 ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ กำกับโดย Shohei Imamuraเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ เกิดขึ้นในยุคสมัยเอโดะหรือโทกูงาวะ (ค.ศ.1603-ค.ศ.1868) โดยเอโดะเป็นชื่อเรียกของกรุงโตเกียวในสมัยก่อน เป็นยุคที่มีระบบการปกครองแบบขุนนาง และมีพ่อค้าเป็นผู้นำทางวัฒนธรรม แตกต่างจากสังคมญี่ปุ่นอื่นๆ ที่ส่วนมากจะมีกลุ่มชนชั้นสูง มักจะเป็นผู้นำทางวัฒนธรรม เนื้อหาในภาพยนตร์ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินชีวิตของคนส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นสมัยนั้น เริ่มต้นเรื่องด้วยการถ่ายทอดวิถีชีวิตความเป็นอยู่และความเชื่อในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตั้งแต่การดำรงชีวิตด้วยสังคมเกษตร โดยผู้นำครอบครัวเป็นเพศชายที่มีหน้าที่ออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ให้ภาพสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่จัดการงานในบ้าน ดูแลสามี ลูก และผู้สูงอายุในบ้าน สำหรับหญิงสาวที่มีสามีแล้ว ถ้าหากสามีตายไป ถือว่าถูกคำสาปต้องหาชายที่เหมาะสมที่สุดมาเป็นผู้รักษา ตามความเชื่อของหมู่บ้าน ต้องให้ชายโสดทั้งหมู่บ้านมาร่วมเพศด้วย ซึ่งตัวผู้หญิงจะไม่รู้สึกผิดหรือถูกคนตราหน้าว่าเป็นโสเภณี และไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องกังวล ทุกคนจะไม่กล่าวว่าเธอ เพราะถือว่าเป็นธรรมเนียมหรือเป็นการแก้เคล็ด และการแก้ไขคำสาปเป็นสิ่งที่สังคมตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาเอง รวมถึงการลงโทษคนที่ลักขโมยของ สมาชิกในครอบครัวจะถูกจับมาฝังทั้งเป็น โดยในเรื่องจะเห็นครอบครัวที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นขโมย จึงถูกคนในหมู่บ้านจับมาฝังกลบดินทั้งเป็น ถึงแม้ว่าจะดูเป็นเรื่องที่โหดร้าย ดูไม่มีจริยธรรม แต่คนในหมู่บ้านไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องที่เลวร้าย เนื่องจากอาหารมีจำกัด การลักขโมยข้าวของคนอื่นจึงถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงสมควรถูกลงโทษ ทั้งหมดนี้ถือเป็นความเชื่อ ธรรมเนียม หรือค่านิยมในสังคมญี่ปุ่นสมัยเอโดะที่ทำกันเป็นเรื่องปกติสำหรับเนื้อเรื่องแกนหลักนั้นเป็นเรื่องราวระหว่างคุณยายโอริน (Orin) ที่มีอายุ 69 ปี กับลูกชาย โดยคุณยายโอริน ยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสามารถทำงานหนักๆ ได้ จึงถูกคนในหมู่บ้านล้อว่าเป็นยายยักษ์เฒ่า เพราะแข็งแรงมากว่าผู้สูงอายุคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เนื่องจากช่วงเหตุการณ์ของยุคนั้นเกิดภาวะแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพง อาหารการกินถูกจำกัดทั้งหมู่บ้าน จึงเกิดกฎของหมู่บ้านขึ้นเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนอาหาร คือการจัดการกับคนชราในหมู่บ้าน โดยการให้ลูกหลานนำไปปล่อยไว้บนภูเขาอุบะสุเทะ ซึ่งกฎเกณฑ์นี้อ้างอิงมาจากเรื่องจริงในช่วงที่ญี่ปุ่นที่เกิดภาวะแห้งแล้งขาดแคลนอาหารติดต่อกันหลายปี เจ้าเมืองในหลายๆ เมืองได้มีการออกกฏมาว่า ครอบครัวไหนมีพ่อแม่ที่อายุเกิน70 ปี ผู้ที่เป็นลูกจะต้องนำพ่อแม่ไปทิ้งบนเขา ไม่เช่นนั้นจะมีการลงโทษ ตั้งแต่โทษรุนแรงไปจนถึงประหารชีวิต ดังนั้นคุณยายโอริน จึงพยายามที่จะทำตัวเองให้แก่หรืออ่อนแอลง โดยการทุบฟันตัวเองกับหิน เพราะถ้ายังมีฟันครบ ทำให้ยังกินอาหารได้เยอะ ทำให้ครอบครัวต้องลำบาก และเป็นการเตรียมตัวที่จะขึ้นไปอยู่บนภูเขา เมื่ออายุครบ 70 ปีธรรมเนียมดังกล่าวได้ให้มุมมองว่าผู้สูงอายุนั้นเป็นกลุ่มคน หรือสมาชิกในครอบครัวที่ไม่สามารถทำประโยชน์ หรือทำงานได้นอกจากเป็นภาระให้กับลูกหลาน และเพื่อนบ้าน อีกทั้งกฎนี้มองว่าการตายของพ่อแม่ที่ชราเพื่อให้ลูกหลานไม่อดตายจากการขาดแคลนอาหารถือเป็นเรื่องที่มีเกียรติสูงส่ง ภูเขาในยุคนั้นก็ได้กลายเป็นสุสานสำหรับพ่อแม่ที่แก่ชรา ซึ่งชาวญี่ปุ่นเรียกภูเขาเหล่านี้ว่า “อุบะสุเทะ”เมื่อถึงเวลาลูกชายคนโตจะต้องเป็นคนพาแม่ไปไว้บนเขา ถึงแม้ว่าส่วนตัวเขาแล้วไม่ต้องการแบกแม่ขึ้นไปทิ้งไว้บนภูเขา แต่ถูกกฎทางสังคมบีบเค้นให้ทำจึงต้องแบกแม่ขึ้นหลังเดินทางขึ้นเขาไป ผู้เป็นแม่ก็ยินยอมที่จะขึ้นไปตายบนภูเขา เพราะไม่ต้องการอยู่เป็นภาระตามค่านิยมทางสังคม ตลอดเส้นทางลูกชายต้องแบกแม่ขึ้นไปบนเขาโดยการเดินเท้าซึ่งเส้นทางมีความชันและพบกับความยากลำบากในการเดินทาง เมื่อลูกชายพาแม่ถึงยอดเขาที่เต็มไปด้วยซากศพของคนแก่ที่ถูกนำมาทิ้ง ผู้เป็นลูกต้องทิ้งแม่ไว้ ผู้เป็นแม่ก็บอกให้วางทิ้งไว้ที่นี่ไม่ต้องห่วง อีกทั้งยังเอาข้าวปั้นของตัวเองที่เป็นเสบียงใส่ให้ลูกชายเอากลับไประหว่างทางที่กลับไปเพราะกลัวลูกจะหิว ลูกชายรู้สึกเสียใจมากที่ต้องทิ้งแม่ของตนเองไว้ในที่แห่งนี้ แม่ลูกต่างโอบกอดร้องไห้เสียใจและร่ำลากันอย่างลำบากใจก่อนที่ยายโอรินพยายามผลักไสให้ลูกชายกลับไป และสุดท้ายลูกชายจำต้องเดินจากไป ขณะที่เดินทางลงจากเขา ลูกชายก็ได้พบกับครอบครัวหนึ่งที่เป็นเพื่อนบ้านกัน ซึ่งเขาก็นำพ่อที่แก่แล้วขึ้นมาอยู่บนภูเขาลูกนี้เช่นกัน แต่พ่อของเพื่อนบ้านไม่อยากจะตายบนภูเขาแห่งนี้ จึงดิ้นรนขัดขืน ผู้เป็นลูกต้องมัดเชือกลากไถขึ้นไป จนสุดท้ายต้องผลักตกหน้าผาไป เพราะความยากแค้นและขาดแคลนอาหาร จึงกลัวว่าพ่อที่แก่แล้วจะเป็นภาระทำให้ครอบครัวต้องลำบาก ทั้งที่ชายคนนั้นก็รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำลงไป เมื่อลูกชายของคุณยายโอรินเห็นดังนั้นจึงย้อนกลับไปหาแม่ของตน ในขณะที่หิมะค่อยๆ โปรยลงมา พอกลับไปเห็นผู้เป็นแม่ที่กำลังนั่งสวดภาวนาท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ ลูกชายพยายามตะโกนถาม ด้วยความเป็นห่วง สุดท้ายยายโอรินก็ไม่ยอมขยับไปไหนและไล่ลูกชายให้กลับไปอีกครั้ง การที่หิมะตกนั้นถือว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้ตายอย่างไม่ต้องทุกข์ทรมานมาก เพราะถ้าไม่อย่างนั้นจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนเขาที่แห้งแล้งมีแต่โครงกระดูกเป็นเวลานาน ซึ่งอาจต้องทรมานกับความหิวโหย และหวาดผวา เมื่อลูกชายกลับถึงบ้านกลับต้องเจอลูกชายวัยรุ่นของตัวเอง ที่พาผู้หญิงมากินอยู่ด้วยที่บ้าน และสวมใส่เสื้อผ้าของยายโอริน ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความเจ็บช้ำของลูกชายที่ต้องทอดทิ้งแม่แท้ๆ ของตนไป โดยที่ลูกชายของตนและภรรยาของลูกชายไม่มีท่าทีที่จะสนใจใยดีว่าเสบียงจะหมดไปหรือไม่จากเนื้อหาของหนังเรื่อง The Ballad of Narayama สะท้อนให้เห็นถึงสังคมญี่ปุ่นในสมัยก่อนที่ไม่ให้คุณค่ากับผู้สูงอายุ มองว่าเป็นภาระ ไร้ความสามารถ ไม่มีประโยชน์ และเป็นคนที่ต้องถูกกำจัดออกไป เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร จึงต้องลดจำนวนสมาชิกในครอบครัว หรือลดจำนวนประชากรในประเทศลง โดยการนำคนแก่ที่มีอายุครบ 70 ปีไปทิ้งบนภูเขา เพื่อให้ครอบครัว ลูกหลาน มีทรัพยากรเพียงพอต่อการดำรงชีวิตต่อไปได้ ดังนั้นในสังคมญี่ปุ่นยุคเอโดะ จึงให้คุณค่ากับคนหนุ่มที่มีความสามารถในการทำงาน หรือเด็กที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นแรงงานทางการเกษตร มากกว่าผู้สูงอายุที่แก่ถึงแม้จะแข็งแรงและทำงานได้อยู่ แต่ควรเสียสละตนเองเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว และอนาคตของลูกหลานมองปรากฏการณ์ผู้สูงอายุในสังคมญี่ปุ่นสมัยเอโดะผ่านแนวคิดเชิงปฏิสัมพันธ์สัญลักษณ์ ประเทศญี่ปุ่นในยุคเอโดะ มีธรรมเนียมปฏิบัติในการจัดการกับคนชราในหมู่บ้านโดยขุนนางและเจ้าเมือง จากภาพยนตร์ในยุคนี้เองได้เกิดภาวะแห้งแล้งและขาดแคลนอาหารขึ้น ทรัพยากรอาหารภายในหมู่บ้านจึงมีอย่างจำกัด เหล่าขุนนางได้ออกคำสั่งเป็นกฎของหมู่บ้านในการแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหาร โดยให้สมาชิกในครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป นำผู้สูงอายุเหล่านั้นไปปล่อยในป่าลึกบนภูเขาที่ชื่อ นารายาม่า (อุบะสึเทะ) หากไม่ทำตามจะถูกทำโทษ การกระทำเช่นนี้เป็นผลจากการมีมุมมองต่อผู้สูงอายุว่าเป็นกลุ่มคนที่ไร้ประโยชน์ ร่างกายเสื่อมโทรม ไม่สามารถทำงานได้ และสร้างภาระให้แก่ลูกหลานและเพื่อนบ้าน ในวิธีคิดเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็น Stereotype of ages หมายถึงชุดของความคิด ความเชื่อ ที่จัดกลุ่มทางสังคม รวมถึงคุณลักษณะของกลุ่มผู้สูงอายุว่าคนในกลุ่มมีลักษณะเหมือนกัน หรือเรียกว่าเป็นการเหมารวมกลุ่มผู้สูงอายุ โดยในเรื่องเป็นการเล่าเรื่องของคุณยายโอริน ผู้มีอายุ 69 ปี ที่ในปีถัดไปจะต้องถูกนำไปปล่อยไว้บนภูเขานารายาม่า แต่คุณยายโอรินกลับมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง สามารถทำงาน แบกฟืน หาปลาได้อย่างคล่องแคล่ว อย่างไรก็ตามด้วยธรรมเนียมปฏิบัติจากการให้ความหมายต่อผู้สูงอายุแบบเหมารวมเช่นนั้นแล้ว ทำให้คุณยายโอรินต้องทำตัวเหมือนว่าตนนั้นเป็นผู้สูงอายุตามความหมายที่สังคมให้ไว้ เช่น การทุบฟันตัวเองด้วยก้อนหินจนฟันร่วงสองซี่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการฟันร่วงคือการเป็นผู้สูงอายุที่ไม่แข็งแรง ไม่สามารถทานอาหารได้เยอะ และเพื่อเป็นการประหยัดอาหารให้แก่ลูกหลาน เนื่องจากตนต้องถูกคนในชุมชนล้อเลียนว่าเป็น ยักษ์เฒ่า มีฟัน 33 ซี่ อันแสดงถึงความแข็งแรงเกินวัย จะเห็นได้ว่าการเหมารวมทางความคิดต่อผุ้สูงอายุเช่นนี้ ส่งผลต่อชีวิตของคุณยายโอรินที่แม้จะเป็นคนแข็งแรงแต่ก็ต้องทำตามกฎของหมู่บ้าน นอกจากนี้ในภาพยนตร์ยังแสดงให้เห็นถึง การเหยียดภาวะสูงอายุ (Ageism) โดยมีการให้ความหมายอย่างเป็นระบบว่าผู้สูงอายุเป็นผู้ที่มีความเสื่อม ไร้ประโยชน์ ทำให้เกิดการแบ่งแยกและกีดกันผู้สูงอายุให้กลายเป็นอื่นในสังคม โดยการนำไปทิ้งบนภูเขาที่ห่างไกล ถูกทิ้งให้อดน้ำและอาหาร อยู่อย่างโรยราเพียงลำพัง ทำให้เกิด การกลัวความแก่ (Fear of aging) ดังเช่น ชายชราในหมู่บ้านคนหนึ่งที่อายุเท่ากับคุณยายโอริน ซึ่งจะต้องถูกนำไปทิ้งบนภูเขาเช่นกัน หากแต่ชายชราคนนั้นกลับหวาดกลัวและไม่ต้องการจะไปยังภูเขาแห่งนั้น ทำให้ลูกชายต้องมัดเชือกชายชราผู้นั้นไว้ และแบกขึ้นไปยังบนภูเขา อย่างไรก็ตามชายชรายังคงดิ้นรนขัดขืน ทำให้ผู้เป็นลูกต้องผลักชายชราตกภูเขาไปเพราะไม่ต้องการมีภาระในครอบครัว แสดงให้เห็นว่าผู้สูงอายุกลัวกลัวความแก่ในวัย 70 ปี ที่จะต้องถูกทิ้งให้รอวันตายโดยลำพัง จะเห็นได้ว่าจากเรื่อง The Ballad Of Narayama ที่เกิดขึ้นในยุคเอโดะของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสังคมเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่ทำหน้าที่เกษตรกร เมื่อเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร ข้าวยากหมากแพง จึงมีการสร้างกฎของหมู่บ้านขึ้นเพื่อจัดการกับปัญหาการขาดแคลนอาหาร โดยในภาพยนตร์มีการจัดการหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการลงโทษคนที่ลักขโมยของในหมู่บ้านโดยการฝังทั้งเป็น เพราะอาหารเป็นสิ่งที่หายาก หรือแม้แต่การจำกัดคนชราในหมู่บ้านโดยการนำไปทิ้งไว้บนภูเขานารายามะ (อุบะสึเทะ) ซึ่งมีการสร้างค่านิยมและความเชื่อที่มองว่าคนชราเป็นภาระ และหากทำตามกฎนี้จะถือว่าได้รับเกรียรติสูงสุดในชีวิต ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ดูเหมือนว่าการจัดการกับผู้สูงอายุในอดีตจะเป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักศีลธรรม แต่ในสังคมญี่ปุ่นในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ มีผู้ประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปี คิดเป็น 26.7% จากประชากร 127.11 ล้านคน ก็ยังคงมีการจัดการกับผู้สูงอายุในลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่มีการเปลี่ยนรูปแบบไปเท่านั้น เช่น การนำผู้สูงอายุไปทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ หรือองค์กรการกุศลอย่างโครงการกล่องไปรษณีย์ผู้สูงอายุที่จะมีผู้เข้ามาดูแลผู้สูงอายุ แม้รัฐจะพยายามมอบสวัสดิการเพื่อดูแลผู้สูงอายุ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทอดทิ้งผู้สูงอายุให้เป็นหน้าที่ขององค์กรต่างๆ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ขอขอบคุณรูปประกอบจาก IMDB รูปประกอบปก, รูปประกอบที่1, รูปประกอบที่2, รูปประกอบที่3, รูปประกอบที่4