ปัจจุบันกระแส การวิ่ง นั้นเป็นอะไรที่มาแรงที่สุดในบรรดาการออกกำลังกายทั้งหมด เพราะการวิ่งโดยพื้นฐานนั้นไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์กีฬาอะไรที่ยุ่งยาก เพียงแค่มีรองเท้าวิ่งสักครู่และสนามหรือพื้นที่ให้ไปวิ่ง ทำให้ไม่ว่าใคร ๆ ก็สามารถออกไปวิ่งได้ ซึ่งก็ทำให้ผู้เขียนย้อนนึกถึงในสมัยเด็กที่มีกีฬาชนิดหนึ่งชื่อว่า “วิ่งเปี้ยว” เป็นกีฬาการวิ่งที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาสี และเป็นกีฬาที่สนุกสนานมากพอสมควรเลย การ “วิ่งเปี้ยว” นั้นไม่ได้เขียนว่า “วิ่งเปรี้ยว” อย่างที่หลายคนเข้าใจ ซึ่งจากข้อมูลของ "สำนักงานราชบัณฑิตยสภา” ก็ได้มีการระบุไว้ว่า คำว่าวิ่งเปี้ยวนั้นแท้จริงแล้วมีที่มาจากชื่อของ “ปูเปี้ยว” หรือปูก้ามดาบ ซึ่งจะมีนิสัยที่ชอบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว การวิ่งเปี้ยวที่เป็นการละเล่นของไทยนั้นจึงคล้ายกับการวิ่งของปูเปี้ยวนั่นเอง แต่เนื่องจากในภาษาไทยไม่ได้มีคำว่าเปี้ยวใช้ในบริบททั่วไป หลายคนจึงเข้าใจว่าการ “วิ่งเปี้ยว” นั้นเขียนด้วยคำว่า “วิ่งเปรี้ยว” แทน ภาพประกอบวาดโดยผู้เขียน สำหรับการละเล่นวิ่งเปี้ยวก็ไม่ได้มีกติกากำหนดไว้อย่างชัดเจนตายตัวเท่าใดนัก แต่เท่าที่ผู้เขียนสืบค้นข้อมูลมาก็ทำให้พอทราบได้ว่า การวิ่งเปี้ยวจะต้องมีการจัดเตรียมสถานที่สำหรับการแข่งขัน โดยจะมีการปักเสาหรือหลักจำนวน 2 เสา ให้มีระยะห่างกันพอสมควรประมาณ 10-15 เมตร และจะแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่ายเท่า ๆ กัน ฝ่ายละ 4 คนเป็นอย่างต่ำ โดยจัดให้ผู้เล่นแต่ละฝ่ายจะยืนต่อแถวกันที่บริเวณหลังเสาหลักของฝ่ายตนเอง อุปกรณ์ที่ใช้อีกอย่างหนึ่งก็คือผ้าหรือธง ซึ่งจะให้คนที่เริ่มวิ่งก่อนถือผ้าหรือธงนั้นไว้ในมือ เมื่อเริ่มการแข่งขันหลังจากที่กรรมการให้สัญญาณ ผู้เล่นคนแรกจะต้องออกวิ่งจากเสาหลักของต้นไปยังเสาหลักของฝ่ายตรงข้ามให้เร็วที่สุด และเมื่อวิ่งครบรอบ 1 รอบแล้ว ผู้เล่นจะต้องส่งผ้าในมือของตนให้กับผู้เล่นในฝ่ายตนเองคนถัดไป ซึ่งผู้เล่นคนที่สองจะต้องรีบรับผ้าจากผู้เล่นคนแรกแล้วออกวิ่งให้เร็วที่สุดเช่นกัน ภาพประกอบดัดแปลงจาก freepik การตัดสินแพ้ชนะของการวิ่งเปี้ยวนั้นจะขึ้นอยู่กับว่า ผู้เล่นฝ่ายใดสามารถนำผ้าของฝ่ายตนเองไปแตะที่หลังของฝ่ายตรงข้ามได้ก่อน แต่หากไม่มีใครวิ่งทันใครก็จะต้องวิ่งวนเปลี่ยนตัวรอบเสาหลักแบบนี้ไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ยังมีการตัดสินว่าทำผิดกติกา หากผู้เล่นไม่วิ่งอ้อมเสาหลักหรือวิ่งลัด วิ่งเตะหรือชนเสาหลักล้ม ทำผ้าที่ถือในมือร่วงลงพื้น เป็นต้น แต่ในบางการแข่งขันก็อนุญาตให้ผู้เล่นที่ทำผ้าร่วงลงพื้นเก็บผ้านั้นแล้ววิ่งต่อได้ ซึ่งถึงแม้จะยังไม่เป็นการผิดกติกาแต่ก็ทำให้เสียเวลาและมีโอกาสที่ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามจะวิ่งมาได้ทัน ดังนั้นทางที่ดีคือผู้เล่นควรจะกำผ้าในมือไว้ให้แน่นที่สุด รวมทั้งผู้เล่นคนถัดไปที่จะรับผ้าก็ควรรู้จังหวะในการส่งต่อผ้าของผู้เล่นคนก่อนหน้าด้วย ภาพประกอบวาดโดยผู้เขียน ซึ่งจะเห็นได้ว่าการวิ่งเปี้ยวไม่ใช่การวิ่งแข่งระยะสั้นที่ต้องอาศัยความเร็วเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่คนที่วิ่งยังจะต้องมีสมาธิในการจับจ้องไปที่ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามว่าจะวิ่งมาทันตนเองแล้วหรือไม่ หรือว่าเราจะเป็นฝ่ายที่ได้ไปแตะตัวเขาก่อน รวมถึงจะต้องมีการฝึกการทรงตัวในการวิ่งอ้อมเสาหลักอย่างไรไม่ให้ลื่นล้ม และยังจะต้องรู้จักการส่งผ้าในมือให้แก่เพื่อนร่วมทีมอย่างรวดเร็วด้วย ประโยชน์ของการวิ่งเปี้ยวถ้าในแง่ของการออกกำลังกาย ก็จะเป็นการฝึกความคล่องแคล่วว่องไวในการเคลื่อนไหว ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง แต่ในมุมมองด้านอื่นผู้เขียนมองว่า การวิ่งเปี้ยวเป็นกีฬาที่สร้างความสามัคคีในหมู่ผู้เล่นได้เป็นอย่างดี เพราะหากใครคนใดคนหนึ่งวิ่งช้า ก็มีโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามจะวิ่งตามมาทันได้ ดังนั้นผู้วิ่งคนถัดไปจึงจะต้องรีบวิ่งให้เร็วขึ้นเพื่อเป็นการแก้เกม ซึ่งเป็นการสร้างความสนุกสนานสำหรับผู้ชมและผู้เชียร์อีกด้วย การวิ่งเปี้ยวจึงเป็นกีฬาการแข่งขันที่นิยมจัดขึ้นในการแข่งขันกีฬาสีหรือกีฬาเสริมสร้างความสามัคคีต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลประกอบการเขียนบทความจาก เปี้ยว - สำนักงานราชบัณฑิตยสภา วิ่งเปี้ยว - วิกิพีเดีย ภาพพื้นหลังปกบทความจาก freepik