สวัสดีค่า มาพบกันอีกแล้วในช่วงสถานการณ์โควิด ที่เพิ่งจะยกเลิกเคอร์ฟิวนะคะ ทำให้ประชาชนได้หันมาทำมาหากินได้บ้างแล้ว หลังจากการแพร่ระบาดของโรคเริ่มเบาบางลง แต่ยังไงก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไปแล้วกันค่ะ ไปไหนก็ใส่หน้ากากอนามัยล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่างทางสังคมด้วยนะคะเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง และคนรอบข้างจ้า และในวันนี้นะคะทางผู้เขียนเองได้มีโอกาสมาเที่ยวในจังหวัดหนองคาย ก็เริ่มเดินทางตั้งแต่เช้า ในเวลา 10.00 น. เดินทางจากจังหวัดอุบลราชธานี ถึงจังหวัดหนองคายในเวลา 17.00 น. โดยใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 7 ชั่วโมงนะคะ เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ขับแบบสบาย ๆ นะคะไม่รีบอะไร และเคารพกฏจราจรตลอดเส้นทาง มาถึงค่ะก็แวะมาเลยเพราะเป็นที่ที่ตั้งใจมามาก คือ ศาลาแก้วกู่ พอมาถึงนะคะก็อากาศดีมากเลยเพราะมาถึงเย็น ๆ ตะวันกำลังจะลาลับของฟ้า ถ้ามาช่วงสาย ๆ นี่แดดใช้ได้เลย แต่ไม่ต้องห่วงนะคะที่นี่เขามีร่มให้ยืม หรือจะพกร่มมาเองก็ได้ แต่เวลาที่เหมาะที่สุดก็น่าจะเป็นช่วงเช้า ไม่ก็ช่วงเย็นนะคะหรือยามแดดอ่อน ๆ จะดีที่สุด พอเดินเข้ามานะคะจะมีคนเก็บค่าบริการ สำหรับเข้าชม โดยผู้ใหญ่จะอยู่ที่คนละ 20 บาท เด็กคนละ 10 บาท และชาวต่างชาติ 40 บาทนะคะ สำหรับบำรุงหรือบูรณะสถานที่ค่ะ พอมาถึงนะคะ ก็เข้ามากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนเลยนะคะอันดับแรก แล้วค่อยเดินไปชมยังจุดต่าง ๆ ศาลาแก้วกู่ อุทยานเทวาลัย หรือ วัดแขก ตั้งอยู่ตำบลวัดธาตุ อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแวะมาเยี่ยมชมกันอย่างมากมาย เพราะเต็มไปด้วยรูปปั้นคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่ที่มีความแปลกตาจำนวนมากกว่า 150 องค์ โดยประกอบด้วยพระพุทธรูป พระรูปของพระโพธิสัตว์ เทพเจ้าฮินดู บุคคลในคริสต์ศาสนา ความเชื่อพื้นบ้าน ทั้งคำสอนภาษาอีสาน และตัวละครจากรามเกียรติ์ เป็นสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่และงดงามดูสวยงามตระการตาซึ่งถูกสร้างโดยฝีมือช่างในระแวกนั้น มีคำคมให้อ่านแล้วได้มองย้อนดูตัวเอง แผงด้วยแง่คิดอะไรหลาย ๆ อย่าง อุทยานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์ ภายใต้แนวคิดว่า ทุกศาสนาสามารถอยู่รวมกันได้ และ ให้เป็นสถานที่แทนภาพดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง อีกทั้งยังมีพุทธประวัติให้ศึกษาในรูปแบบประติมากรรมปูนปั้น รูปปั้นแต่ละชิ้นมีลักษณะใหญ่โตสูงตระหง่าน ราวกับว่าเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์ยักษ์เต็มพื้นที่ มีเสน่ห์น่าดึงดูดและมีมนต์ขลังสะกดให้คนที่มาเยี่ยมชมรู้สึกราวกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตจริง ๆ สำหรับเทวาลัยนี้บูรณะเสร็จเมื่อปี 2546 ใต้ฐานรูปปั้นนี้มีการสลักไว้เป็นเรื่องราว ซึ่งลักษณะเหมือนเจ้าแม่นาคีในละคร แต่ความจริงแล้วเทวลัยปางนี้คือพระเจ้าย่าทวดแอไค่ และมีประวัติคล้ายคลึงกับละครดังกล่าว ทำให้ผู้คนต่างมาเยี่ยมชมกันอย่างคับคั่งในช่วงที่ละครออนแอร์ บริเวณรอบ ๆ เป็นทางเดินให้เยี่ยมชม และมีประวัติแต่ละเทวลัยให้อ่าน ได้ศึกษาข้อมูล ส่วนตรงนี้จะเป็นประติมากรรมปูนปั้นจำลองการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งสามารถเดินเข้าไปชมยังจุดต่าง ๆ โดยต้องลอดเข้าไป และสุดท้ายนี้ต้องคุณไกด์ของเราด้วยนะคะ ที่พาชมอย่างทั่วทั้งบริเวณ ไปไหนน้องก็ตามไปด้วยตลอดเป็นเจ้าบ้านที่ดีมาก55 ก็รู้สึกประทับใจมากนะคะ เหมือนหลงเข้ามาในเมืองเวทมนต์ยักษ์เพราะทุกอย่างล้วนยิ่งใหญ่มาก อีกทั้งยังมีคำสอนของหลาย ๆ ศาสนา สามารถอยู่ด้วยกันได้ด้วยจริง ๆ ไว้มีโอกาสจะกลับไปเยี่ยมชมอีกแน่นอนค่ะ เครดิตรูปภาพโดยผู้เขียน : pmcnnn