ความเชื่อเรื่องพญานาคเป็นสิ่งลี้ลับที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน และมีความสำคัญกับชาวบ้านที่เคารพ นับถือและให้ความศรัทธาเป็นอย่างมาก ในเรื่องของตำนานพญานาคมีอยู่หลายตำนาน แต่ตำนานที่กำลังได้รับความนิยมและได้รับความฮือฮาจากผู้คนทั่วทุกพื้นที่คือ ตำนานเจ้าแม่นาคี ที่มีร่างครึ่งหนึ่งเป็นคน อีกครึ่งหนึ่งเป็นงูใหญ่ รูปปั้นที่มีอยู่จริง สร้างมาเป็นเวลานานและบูรณะ เมื่อปี พ.ศ.2546 อยู่ในอุทยานศาลาแก้วกู่ ที่สร้างขึ้นด้วยความศรัทธา เป็นแหล่งเรียนรู้แหล่งใหม่ในจังหวัดหนองคาย รูปปั้นเจ้าแม่นาคีเหมือนอย่างในหนังที่เราคิดว่าเป็นเพียงแค่การเติมแต่งละครให้สมบูรณ์ แท้จริงแล้วมีรูปปั้นเจ้าแม่นาคีเหมือนอย่างในละครอยู่จริง ทำให้สร้างความฮือฮาให้แก่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบเรื่องเล่า ตำนานความลี้ลับ ความเชื่อที่สำคัญแก่ชาวบ้านในพื้นที่ โดยผู้เขียนได้มีโอกาสไปพูดคุยและสอบถามกับเหล่าพ่อค้าแม่ค้า ที่ขายของอยู่ภายในบริเวณอุทยานเทวาลัยศาลาแก้วกู่ พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่ในพื้นที่นี้ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นเพราะหนังจากช่องดังที่มีการแสดงละครทำให้มีนักท่องเที่ยวแห่มาชมกันเป็นจำนวนมาก ช่วยสร้างรายได้ให้แก่พ่อค้า แม่ค้าในพื้นที่ให้มีแรง ทำงานต่อไปหลังจากที่อุทยานเงียบเหงามานาน ไม่ค่อยมีผู้คนรู้จักมากนัก ปัจจุบันมีผู้คนไปท่องเที่ยวกันอย่างมากมาย เหล่าพ่อค้า แม่ค้าพร้อมที่จะคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมนั่นเองค่า รูปปั้น เทวาลัยปางนี้ มีชื่อว่า เจ้าแม่พระนางแอไค่ มีความสูงจนตัดกับขอบฟ้าเลยเมื่อมองขึ้นไป และยังมีคำบอกเล่าตามตำนานให้ได้อ่าน ศึกษากันอีกด้วยค่ะ นอกจากนี้แล้วภายในศาลาแก้วกู่ยังมีศาสนสถานอื่น ๆ ให้ได้ศึกษา เรียนรู้กันอย่างมากมาย อีกทั้งเรายังสามารถขึ้นไปกราบสักการะไหว้หลวงปู่เหลือ ท่านสร้างรูปปั้นด้วยความตั้งใจและความศรัทธาต่อศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และคริสต์ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น โดนท่านใช้ระยะเวลานานในการสร้างรูปปั้นต่าง ๆ ด้วยความที่บ้านเมืองยังไม่มีความเจริญมากนัก ทำให้ต้องใช้ภูปัญญาในการสร้างประติมากรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง และมีชาวบ้านในพื้นที่ มาช่วยท่านอีกแรงหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเกิดปัญหา อุปสรรคมากมายแต่ท่านก็สร้างเทวาลัยแห่งนี้ได้สำเร็จ จนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน รูปปั้นต่าง ๆ ที่อยู่ในสถานที่เทวาลัยแห่งนี้ล้วนแล้วแต่มีความสวยงามและใหญ่โต สูงเสียดฟ้า ประติมากรรมในเทวาลัยล้วนแล้วแต่เป็นเนื้อปูนล้วน ไม่มีการลงสี ทำให้เป็นจุดเด่นของเทวาลัยแห่งนี้ ภายในวัดมีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ อย่างมากมายและมีการจัดสวน ต้นไม้ เพื่อความสวยงามภายในอุทยานแห่งนี้อีกด้วย บรรยากาศภายในวัดถือว่าร่มรื่นและเงียบสงบมากเลยทีเดียว มีพื้นที่กว้างขวางเป็นทางเดิน สามารถเดินได้ทั่วเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีสระน้ำให้ได้นั่งชมบรรยากาศที่ร่มรื่น และสามารถนั่งชิว ๆ ได้อีกด้วยค่ะ หรือใครที่อยากจะทานอาหารอีสาน บริเวณหน้าอุทยานแห่งนี้มีร้านอาหารเรียงรายกันอย่างมากมาย มีร่มให้เรานั่งทาน ไม่ร้อนได้พัก แวะทานส้มตำ ปลาเผากันอย่างถึงใจ อิ่มท้องแน่นอนค่า นอกจากจะมีประติมากรรมอย่างมากมายภายในอุทยานนี้แล้วยังมี ข้อความบทรัก นักกลอนให้ได้อ่านอย่างกันอย่างทั่วทั้งในอุทยาน บทกลอนที่เกี่ยวกับความรัก ความโศกเศร้า สอนการใช้ชีวิตอย่างมีสติ การไม่ทำบาป นึกถึงแต่เรื่องที่ดี กรรมดีที่ทำด้วยตนเอง สอนการพึ่งพาตนเองโดนไม่ระรานผู้อื่น สร้างความเดือดร้านให้แก่ผู้อื่น ยืนด้วยลำแข้งของตนเอง บทกลอน สอนใจอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีการสอนคนด้วยการสื่อออกมาด้วยรูปปั้น ที่จะสอนให้เรานั้นเป็นคนดีในสังคม รู้จักเอาตัวรอด ไม่ทำร้ายคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นทางความคิด การพูดการจา หรือการกระทำของเราเองให้ดีกว่าเดิม และสอนเรื่องการไม่ทำบาปไม่งั้นเราจะต้องตกนรกไปรับกรรม โดยมีรูปปั้นตัวอย่างการรับกรรมไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างอีกด้วยค่ะ การเดินทาง ผู้เขียนเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวไปตามเส้นทางถนนหนองคายผู้เขียนไปเส้นทางริมแม่น้ำโขงเลยค่ะ และไปตามเส้นทางอำเภอโพนพิสัย หรือเส้นทางที่ชาวบ้านเรียกว่า เทวาลัยท้ายหมู่บ้าน จะลัดเลาะไปตามเส้นทางบ้านคน จนถึงอุทยานได้เช่นกันค่ะ ค่าเข้าชม ราคา 20 บาท เวลาทำการ 07.00 น. - 17.00 น. เครดิตรูปภาพโดยผู้เขียนเองทั้งหมด