สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ วันนี้ Satori มีหนังสือดี ๆ สายธรรมะมาฝากค่ะ เป็นอีกหนึ่งเล่มที่เล่าเรื่องธรรมะได้อย่างเกี่ยวข้องกับทุกมุมในการใช้ชีวิตเลยก็ว่าได้ เป็นการยกตัวอย่างธรรมะในมุมที่วิจิตรขึ้นมา และเปรียบเทียบเข้ากับศิลปะ หรือ ความงาม ในชีวิตที่จะเกิดขึ้นกับเรา ทำให้เราเข้าใจและรู้จักที่จะใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะมากขึ้น เอาชนะโลกไม่ใช่ด้วยความบ้าบิ่น แต่ชนะขาดด้วยการไม่สร้างปัญหาขึ้นมาอีก หนังสือดีเล่มนี้จัดพิมพ์โดยมูลนิธิของสวนโมกขพลาราม เนื่องในมงคลกาล 110 ปีชาตกาลท่านพุทธทาส ปี พ.ศ. 2559 เป็นการเรียบเรียงคำบรรยายและพระธรรมคำสอน ของท่านพุทธทาส ภิกขุ มาไว้เป็นธรรมทานให้แก่บุคคลทั่วไปและผู้ที่สนใจศึกษาธรรมะ ซึ่งผู้เขียนได้อ่านแล้วมีความเห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างมากที่จะนำมาแบ่งปันกับเพื่อน ๆ โดยเนื้อหาสาระของศิลปแห่งชีวิต จากหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้ ทำการสรุปและยกเนื้อหาในบางส่วนมาทำการอธิบายเพื่อให้ผู้อ่านได้เกิดความสนใจและรับความรู้ ดังต่อไปนี้ค่ะ ว่าด้วยเรื่องศิลปะในการทำงาน คนโดยส่วนใหญ่นั้น มักจะทำงานเหมือนตกนรก คือ ทำงานเพราะความจำเป็นบังคับ เช่น กลัวเมียด่า หรือไม่มีอะไรจะกินจึงต้องออกไปทำงาน พูดง่าย ๆ อีกอย่างว่า เนื้อแท้ไม่ได้รักในการทำงานให้เหน็ดเหนื่อยแต่รักที่จะนอนพักผ่อนเล่นหัวมากกว่า หากมองการทำงานเป็นเพียงการหาเงินมาเลี้ยงชีพ ก็อาจจะต้องรู้สึกเหน็ดเหนื่อยในขณะทำงาน หรือ เบื่อการทำงานเหมือนตกนรกทั้งเป็นไปตลอดชีวิต แต่หากเรามองการทำงานอย่างมีศิลปะและธรรมะ จะเห็นว่าการทำงานคืออันหนึ่งอันเดียวกับชีวิต การทำงานคือการทำหน้าที่ของกฏธรรมชาติ สร้างฉันทะ คือความพอใจในงานที่ทำ หาความรักในงานที่ทำให้ได้ อย่างน้อยก็คิดเสียว่ามันจะมีประโยชน์อะไรแก่ตัวเราบ้าง และจงรักในข้อประโยชน์นั้น ซึ่งจะนำพาให้เรามีความสุข สนุกสนานกับงานที่ทำได้ ว่าด้วยเรื่องศิลปะในจุดมุ่งหมายของการศึกษา หนังสือเล่มนี้ได้ยกตัวอย่างของการศึกษาที่ประสบความสำเร็จสูงสุดให้ได้เห็น นั้นคือ จงมองว่าเรียนจบคือผลของงาน ในวันที่เรารับปริญญานั้นไม่ใช่จุดจบของการศึกษา หากเราจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่เรียนจบอย่างแท้จริง จะต้องสร้างผลงานในสายวิชาชีพของตนให้เป็นที่ประจักษ์ให้ได้ จึงจะเรียกว่า ทำงานสมเรียนมา เพราะการเรียนรู้ที่แท้นั้นเริ่มต้นในวันที่เราเริ่มทำงาน การเรียนเพื่อวุฒิการศึกษาเป็นเพียงหลักฐานทางทฤษฎีที่ให้แค่โอกาสเราในการเข้าทำงาน แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจและคุณค่าของคนทำงานนั้นจะเกิดขึ้นต่อเมื่อ เราได้แสดงผลงานอันเกิดจากการเรียนรู้ได้อย่างดีที่สุด และการเรียนรู้ในการทำงานนั้นยังมีประโยชน์หลายเท่าตัวกว่าการเรียนแค่ในระบบการศึกษาเสียอีก เมื่อไหร่ที่เรามองการศึกษาอย่างมีศิลปะ เราก็จะเป็นนักศึกษาฝีมือฉกาจที่ตามมาด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมเสมอ ว่าด้วยเรื่องศิลปะในการประกอบสัมมาอาชีพ การทำงานคือการปฏิบัติธรรม กว่าที่เราจะประกอบอาชีพอะไรสักอย่างสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น หมอ ครู ตำรวจ พ่อค้าแม่ค้า ข้าราชการ หรือศิลปิน เราต้องอาศัยหลักธรรมะมากมาย เช่น ต้องมีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ต้องมีความอดทนอดกลั้น ต้องมีสติสัมปชัญญะ ต้องเฉลียวฉลาด มีสัจจะ ซื่อตรง จริงใจ ไม่คดโกง ขยันขันแข็ง กล้าหาญ มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา แม้แต่ชาวนาที่ทำหน้าที่ไถนา ยังต้องประกอบด้วยธรรมะที่ว่ามาอย่างเสมอจึงจะสามารถทำงานสำเร็จ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม หากผู้ใดประกอบสัมมาอาชีพแล้วจัดว่าได้ปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา ว่าด้วยเรื่องศิลปะในการทำงานด้วยสติปัญญาไม่ใช่ความหวัง การทำงานด้วยกิเลสตัณหา คือ ความอยาก ที่ทำให้เหมือนตกนรก เช่น อยากทำงานให้ได้เงินจำนวนมหาศาล หวังจนใจจะขาดว่าผลจะออกมาอย่างนั้นอย่างนี้จนเหมือนจุดไฟเผาตัวเอง ไม่สามารถคลายความคาดหวังได้ จนวิกลจริต อย่างนี้ไม่ถือว่ามีศิลปะในการทำงานด้วยสติปัญญา เมื่อไหร่ที่เราทำงานด้วยสติปัญญา คือ ทำด้วยความรู้ ระงับความอยากและความคาดหวังในใจ สนใจกับงานและสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด ผลจะเป็นอย่างไรนั้นเอาไว้ก่อน เวลานี้คือเวลาทำงาน หากมัวแต่วาดฝันก็จะทำให้เสียโอกาสขึ้นไปอีก หากเราคิดได้แบบนี้ เราจะฝึกสนใจแต่งานที่อยู่ตรงหน้าและฝึกลดความหวังคือ ทำด้วยความพอใจว่าดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่หลอกตัวเอง แต่ทำทุกวินาทีให้ดีที่สุดกับงานอย่างเต็มที่ ผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่เสียใจ เพราะถือว่าได้ทำงานด้วยสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว ว่าด้วยเรื่องศิลปะในการให้ การสละทรัพย์ คือ การแสดงถึงภูมิธรรมที่สูงของมนุษย์ ผู้ใดที่รู้จักที่จะให้อย่างเต็มใจ ปลื้มใจ ผู้นั้นย่อมมีสติปัญญาที่สูง เคยมีเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับดวงจิตที่เป็นทุกข์หลังจากไร้ร่างกายไปแล้ว เขายังมีไม่สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เนื่องจากไม่สามารถสละของที่เคยเป็นของตัวเองได้ เพราะเขาคิดว่าสิ่งนั้นเป็นของเขาโดยแท้จริง การที่ศาสนาพุทธสอนให้คนรู้จักให้ ที่จริงก็เป็นทั้งผลประโยชน์แก่เพื่อนร่วมโลก และแก่ตัวผู้ให้เองด้วย เพราะเมื่อให้มาก ๆ ก็จะไม่ยึดติดและเป็นทุกข์ ในวันข้างหน้าเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว จิตใจก็เบาสบายไม่ได้เป็นห่วงหรือยึดติดกับสิ่งไหน สรุปง่าย ๆ ว่าการให้นั้นคือเสรีภาพที่แท้จริง การยกให้ ปล่อยวาง ก็เหมือนการวางสัมภาระที่ไม่จำเป็นแล้วปล่อยให้จิตใจได้โบยบินรับลมของความปลื้มใจ และคุณค่าที่ได้สร้างต่อเพื่อนร่วมโลกที่มีความทุกข์เหมือนเรา หิวเหมือนเรา เจ็บปวดเหมือนเรา ได้ผ่อนเบาความทุกข์ลงไป และการสละ หรือการให้จะเกื้อกูลโลกที่เราอยู่ให้สมบูรณ์ขึ้น จึงนับการให้ว่าเป็นศิลปะในการใช้ชีวิตที่งดงามที่สุดเรื่องหนึ่งเป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับหนังสือธรรมะที่นำมาแบ่งปันกันวันนี้ หวังว่าผู้อ่านจะสามารถใช้ศิลปะในการสร้างชีวิตให้งดงามในแบบของตนเองได้ และมีความสุขกับการใช้ชีวิตได้อย่างสูงสุดนะคะ หากชอบวันหลังผู้เขียนจะสรรค์หาหนังสือดี ๆ มาแบ่งปันกันอีกนะคะ ขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ หนังสือเล่มนี้ยังมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตอีกมากมายหากผู้อ่านสนใจ สามารถซื้อได้ในราคาเพียง 70 บาท ขอบพระคุณที่มาจากหนังสือศิลปแห่งชีวิต จัดพิมพ์โดยมูลนิธิสวนโมกขพลาราม เครดิต : (ภาพปก / ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3 / ภาพที่4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่6 )