เมื่อพูดถึงภาษาอังกฤษ สิ่งแรกๆที่จะเข้ามาในความคิด คือภาษาหลักที่คนใช้กันทั่วโลก มีความเป็นกลาง และ เรียนรู้ง่าย แต่คนบางกลุ่มอาจประสบปัญหาในการจำและทำความเข้าใจส่วนประกอบต่างๆของภาษานี้ เช่นเดียวกันกับทุกภาษาบนโลก ภาษาอังกฤษมีโครงสร้างที่ใช้ในการเขียนหลายรูปแบบ ทำให้ผู้คนมักเกิดความสับสนในการใช้งาน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนเคยเป็น ภาษาอังกฤษเมื่อเทียบกับภาษาอื่นๆส่วนใหญ่แล้ว ถือได้ว่ามีโครงสร้างประโยคและการเรียงคำ เรียบง่าย และ ชัดเจน โดยมีโครงสร้างประโยคหลักๆ 4 รูปแบบ ได้แก่แบบพื้นฐาน(Simple sentences) คือประโยคที่มีการกระทำหรือตัวแปรอย่างเดียว มีโครงสร้างคือSubject(ผู้กระทำ) + Verb(การกระทำ) + Object(ผู้ถูกกระทำ) ยกตัวอย่างเช่น เธอไม่ได้ไปโรงเรียน : She didn’t go to school.เขาหาตำแหน่งร้านอาหารไม่เจอ : He couldn’t find the restaurant’s location. แบบผสม(Compound sentences) คือประโยคที่ประกอบด้วยการกระทำหรือตัวแปร 2 อย่างขึ้นไปโครงสร้างคล้ายประโยคพื้นฐาน แต่จะมีการใส่คำเชื่อมประโยคเพิ่มเข้าไปเช่น or, and, but, yet, for, soฉันไม่สบายจึงไม่ได้ไปทำงาน : I was sick, so I didn’t go to work.พวกเขาเหนื่อยมากแต่ก็ต้องทำงานต่อ : They were exhausted, but they had to continue working. แบบซับซ้อน(Complex sentences) คือประโยค 2 ประโยครวมกัน หากประโยคหนึ่งอยู่ลำพังจะไม่สมบูรณ์โครงสร้างคล้ายประโยคพื้นฐาน แต่มีคำเชื่อมที่อาจต่างออกไปจากประโยคผสม ส่วนใหญ่มักเป็นการให้เหตุผลเช่น Although, because, ifถ้าเขามีความรับผิดชอบ งานของเขาก็คงเสร็จไปแล้ว : If he had responsibility, his works would have been done.ฉันไม่ได้ไปร่วมงานเพราะฉันป่วย : I didn’t attend the event because I was sick. แบบผสม+ซับซ้อน(Compound-Complex sentences) คือประโยคที่รวมประโยคผสมและประโยคซับซ้อนเข้าด้วยกับ โดยประกอบด้วยประโยคทั้งหมด 3 ส่วน นำมารวมกันให้ได้ใจความยกตัวอย่างเช่น เพราะเธอป่วย ทำให้กลุ่มของเธอต้องถอนตัวและถูกครูตำหนิ : Because she was sick, her team had to withdraw and their teacher scolded them.บรรณารักษ์ไล่นักเรียนออก เพราะเขาส่งเสียงดัง และเราก็ดีใจ แล้วกลับไปอ่านหนังสือต่ออย่างสงบ : The librarian kicked a student out because of his loud noises and we were happy, going back to study peacefully. ข้อมูลข้างต้นคือโครงสร้างหลักของภาษาอังกฤษที่ควรรู้ไว้ ทำให้เราสามารถนำความรู้นี้ไปต่อยอดและปรับใช้ในการใช้ภาษาให้ดีขึ้นการใช้งานของโครงสร้างที่กล่าวมานั้น อาจจะดูสับสนและแยกไม่ออก แต่หากเราได้ใช้ไปนานๆเข้าก็จะเริ่มเข้าใจว่า การเขียนประโยคให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงโครงสร้างที่แม่นยำอย่างเดียว แต่เป็นการใช้คำที่เหมาะสมและการสื่อความหมายที่ชัดเจนยกตัวอย่างเช่นภาพยนตร์เรื่องต่างๆในภาษาอังกฤษ เราสามารถเห็นและได้ยินอย่างชัดเจนว่า บทส่วนใหญ่นั้นอิงจากภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน ทำให้บทพูดดูมีความเป็นธรรมชาติ และ ได้ใจความโดยไม่ต้องคำนึงถึงโครงสร้างที่ถูกต้องเสมอไป คล้ายกับภาษาอื่นๆในโลก ภาษาอังกฤษมีการออกเสียงที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ความหมายของคำ, ต้นกำเนิด หรือ สำเนียงและหลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเมื่อค้นคำต่างๆในแหล่งแปลภาษาแล้วจะมีคำอ่านที่มีตัวอักษรที่เราไม่คุ้นเคยในภาษาอังกฤษมีศัพท์หนึ่งคือ ฟอนิม(Phoneme) หมายถึงการแยกเสียงพยัญชนะกับสระจากคำต่างๆ ส่วนใหญ่มักใช้ในการอ่าน เช่น through สามารถแยกได้ 3 ส่วน คือ “th”, “r” และ สระ ชี่งก็คือ “ou”ภาษาอังกฤษมีฟอนิมทั้งหมด 44 ตัว แบ่งได้เป็น พยัญชนะหลัก, พยัญชนะคู่, พยัญชนะประกอบด้วย “r”, สระเสียงยาว, สระเสียงสั้น, สระ “oo” และ สระควบกลํ้าพยัญชนะหลัก(Consonant) 19 ตัว คือ พยัญชนะที่ออกเสียงตรงตามตัว ประกอบไปด้วย/b/, /d/, /f/, /g/, /h/, /j/, /k/, /l/, /m/, /n/, /p/, /r/, /s/, /t/, /v/, /w/, /y/ และ /z/พยัญชนะคู่(Digraph) 7 ตัว คือ พยัญชนะ 2 ตัวที่นำมาประกอบกันเพื่อให้ได้เสียงใหม่ มักเป็นตัวแรกหรือตัวสุดท้ายของคำ ประกอบด้วย/ch/ เช่น watch และ chair/sh/ เช่น short และ shift/ng/ เช่น string และ bring/th/(ออกเสียง) เช่น weather และ thin/th/(ไม่ออกเสียง) เช่น thunder และ thing/zh/ เช่น genre และ division/wh/ เช่น what และ when พยัญชนะประกอบด้วย “r”(R-controlled) 5 ตัว คือพยัญชนะที่มี “r” เป็นตัวสะกด ประกอบด้วย/a(r)/ เช่น car และ far/ā(r)/ เช่น fair และ chair/i(r)/ เช่น here และ steer/o(r)/ เช่น core และ door/u(r)/ เช่น fern และ burnสระเสียงยาว(Long Vowel) 5 ตัว ประกอบด้วย/ā/ เช่น day และ eight/ē/ เช่น beet และ sleep/ī/ เช่น pie และ sky/ō/ เช่น boat และ row/ū/ เช่น hue และ chew สระเสียงสั้น 5 ตัว ประกอบด้วย/a/ เช่น bat และ laugh/e/ เช่น medical และ bread/i/ เช่น sit และ lip/o/ เช่น hot และ orange/u/ เช่น shut และ cutสระ “oo” 2 ตัว ประกอบด้วย/oo/ เช่น took และ could/ōō/ เช่น moon และ soon สระควบกลํ้า 2 ตัว ประกอบด้วย /ow/ เช่น mouse และ cow/oy/ เช่น coin และ toy หากเราเรียนรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษไปเรื่อยๆ เราก็จะได้เจอคำที่ไม่ว่ายังไงการออกเสียงก็ฟังดูไร้เหตุผล สาเหตุส่วนใหญ่นั้นมาจากการยืมคำของชาติอื่นมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาฝรั่งเศส หรือ เยอรมัน นำมาปรับเขียนในรูปพยัญชนะอังกฤษที่มีค่อนข้างมีความจำกัดในการเขียนและออกเสียง อย่างไรก็ตาม วิธีหลักในการเรียนรู้คำเหล่านี้ก็คือการพูดคุย และ อ่านบทความที่มีการใช้คำศัพท์ที่ค่อนข้างซับซ้อนจากประสบการณ์การใช้ภาษาอังกฤษ การที่เราจะสามารถพูดได้ถูกต้องทุกคำในเวลาสั้นๆนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากเราไม่ใช่เจ้าของภาษาหรือคนท้องถิ่น ทำให้เรามีข้อเสียเปรียบในหลายๆด้าน ต่างจากคนที่พูดและเขียนมาตั้งแต่กำเนิดวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้การออกเสียงนั้น คือการใช้ประโยชน์จากสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการชมภาพยนตร์, การใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือ การเล่นเกมส์ ลองปรับภาษาให้เป็นภาษาอังกฤษที่ละนิด เพื่อให้ตนเองชินทั้งในด้านการฟังและการอ่าน ซึ่งจะทำให้เราเริ่มเรียนรู้โดยไม่รู้ตัว ได้รู้วิธีการพูดที่ไม่เคยมีใครสอน และ ได้ฟังอย่างเข้าใจมากขึ้นเนื่องจากมีหลักการใช้และการพูดมากมาย ทำให้การใช้โครงสร้างหรือออกเสียงผิดนั้นเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่สำคัญกว่าความถูกต้องในการใช้ภาษา คือการกล้าแสดงออก และ การสื่ออารมณ์ ภาษาอังกฤษนับว่าเป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นในการใช้ ทำให้หลายคนเลือกที่จะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารท้ายที่สุด ไม่ว่าเราจะมีความรู้พร้อมและเยอะแค่ไหนก็ตาม หากขาดประสบการณ์ในการใช้ ความรู้พวกนั้นก็จะไม่สามารถแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ การเรียนรู้ภาษาก็เหมือนกับการเรียนรู้สิ่งอื่นๆ การฝึกฝนจะให้ประโยชน์และส่งผลดีต่อตัวเรามากกว่าการนั่งท่อง-จำไปวันๆ วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ก็คือการปฏิบัติจริงหน้าปก โดย Song จาก Canvaรูปภาพประกอบ โดย Song จาก IbisPaint Xแหล่งข้อมูล จาก studiobinder.com และ magoosh.comเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !