สัปดาห์ที่ผ่านมาเนี้ยมีเรื่องให้คนไทยหลายคนกังวลใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เงินในบัญชีของเราอยู่ๆก็ถูกดูดหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทําเอาหลายคนกังวลใจเป็นอย่างมากจนต้องหยิบมือถือขึ้นมากเช็คแอปตามๆกันเลยว่าเงินในบัญชีของเรายังอยู่หรือเปล่า ซึ่งยอดผู้เสียหายขณะนี้ก็มีรวมหมื่นรายแล้ว แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เกิดขึ้นได้ยังไง ใครกันที่เป็นคนทํา วันนี้ผมได้สรุปมาให้อ่านกันแล้วนะครับ สรุปเรื่องเงินหายจากธนาคาร มันเริ่มจากประมาณวันที่17ตุลาคม2564มีคนเริ่มโพสต์ลงโชเชียลว่าเงินของตนเองได้หายออกจากบัญชีโดยที่ไม่ทราบสาเหตุและตนเองก็ไม่ได้เป็นคนถอนออกไปด้วยหายที่ละ30บาทบ้าง90บาทบ้างเป็นจํานวนน้อยๆแต่ถูกหักออกจากบัญชีแบบถี่ๆหลังจากที่มีคนเผยแพร่เรื่องนี้ออกมา คนก็เริ่มเช็คเงินในบัญชีตนเองปรากฏว่าก็มีคนโดนหักเงินเหมือนกันแล้วจะทําไงดี จากผู้เสียหายที่เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆเขาก็เลยรวมตัวกันตั้งกลุ่มfacebookที่มีชื่อว่า ''แชร์ประสบการณ์ โดนหักเงินจากบัญชีโดยไม่รู้ตัว'' เป็นกลุ่มที่ให้คนที่เจอปัญหาเหมือนกันมาเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยส่วนมากจะถูกตัดจากการทําธุรกรรมทางการเงินในต่างประเทศเป็นการซื้อสินค้าจากบัตรเครดิต และบัตรเดบิต ซึ่งธนาคารเจ้าของบัตรก็จะมาตัดเงินจากเราอีกที หนึ่งในผู้เสียหายที่โดนเยอะก็คือโดนประมาณครั้งล่ะ80กว่าบาทจํานวน639ครั้งรวมยอดเงินที่หายไปประมาณ3หมื่นกว่าบาทเป็นเงินที่หายจากบัตรATMซึ่งผู้เสียหายยื่นยันว่าบัญชีนี้เป็นบัญชีเงินฝากเอาไว้ใช้บัตรATMถอนอย่างเดียวและเขาก็มั่นใจว่าไม่เคยเอาบัตรไปผู้กับแอปพลิเคชันต่างๆ พอจํานวนผู้เสียหายมันเยอะขึ้นมากๆทางธนาคารแห่งประเทศไทยรวมถึงตํารวจก็เข้ามาสืบสวนเรื่องนี้ จากผลการตรวจสอบในช่วงแรกๆพบว่ามีจํานวนบัตรเครดิตที่โดนดูดเงินจํานวนหมื่นกว่าใบมูลค่าความเสียหายประมาณ130ล้านบาทประมาณ50% เป็นธุรกรรมจากบัตรเครดิตและบัตรเดบิตที่เกิดในร้านค้าต่างประเทศเป็นธุรกรรมวงเงินตํ่าไม่เกิน30บาทและจะเป็นธุรกรรมที่ไม่แจ้ง OTP ธนาคารแห่งประเทศไทยยืนยันว่าข้อมูลผู้ใช้ของลูกค้าไม่ได้หลุดมาจากธนาคารแน่นอนเพราะหลายกรณีเกิดจากการทําธุระกรรมนอกระบบธนาคาร ไม่ได้เกิดจากความบกพร่องทางด้านความปลอดภัย จากการสืบสวนช่วงแรกทางตํารวจไซเบอร์ก็สรุปว่าเป็นการโดนฟิชชิง แต่ชาวเน็ตหลายคนก็ไม่เห็นด้วยเพราะการฟิชชิงจู่ๆมันจะมาแรงในช่วงเวลาเดียวกันแบบนี้มันน่าจะไม่ใช่ อีกอย่างผู้เสียหายยืนยันว่าไม่ได้ผู้บัตรไว้กับแอปอะไรทั้งสิ้น ต่อมาวันที่19ตุลาคม2564ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกแถลงข่าวเกี่ยวกับกรณีนี้ โดยอธิบายว่ามิชฉาชีพจะสุ่มเลขบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต จากข้อมูลผู้ใช้ที่เคยไปผู้ไว้กับร้านค้าออนไลน์ที่ต่างประเทศ จากนั้นก็จะยิงบอทเข้ามารันเลขCVCพอตรงกับเลขบัตรก็จะเอาไปผู้กับแอปซื้อของในต่างประเทศ และก็ซื้อของในราคาตํ่าๆเพื่อที่จะได้ไม่ต้องแจ้งSMSหรือขอOTP จากนั้นมิชฉาชีพก็ยิงบอทไปเรื่อยๆจนเกิดเป็นการถอนเงินถี่ๆ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้กําหนดมาตรการรับมือคือ ให้ธนาคารเฝ้าระวังการทําธุรกรรมในจํานวนที่ตําและถี่ๆติดต่อกัน โดยเฉพาะธุรกรรมจากต่างประเทศ หากพบการชําระเงินที่ผิดปกติสามารถระงับบัตรเครดิตของลูกค้าไว้รอตรวจสอบก่อนหากพบว่าเป็นลูกค้าใช้จริงค่อยยกเลิการระงับ เพิ่มการแจ้งเตือนลูกค้าในการทําธุรกรรมทุกครั้งถึงแม้จะเป็นเงินในจํานวนน้อยก็ตามโดยแจ้งผ่าน Line,Mobile Banking,SMS,Gmail เป็นต้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะเร่งหารือกับผู้ให้บริการบัตรต่างๆเพื่อบังคับใช้มาตราการยืนยันOTPเพิ่มขึ้นสําหรับบัตรเครดิตและร้านค้าออนไลน์ ทางด้าน ร.ม.ว ดิจิทัลได้ฝากถึงประชาชนให้ตรวจสอบความปลอดภัยของธนาคารที่ให้บริการบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตหากไม่มั่นใจก็ไม่ควรนําไปใช้เพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น คือต้องให้ประชาชนตรวจสอบความปลอดภัยของทางคารมันเป็นหน้าที่ของประชาชนไปแล้วหรอเห้อ ซึ่งการรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นหากเป็นบัตรเดบิตจะได้รับเงินคืนใน5วัน ส่วนบัตรเครดิตธนาคารจะยกเลิกการทําธุรกรรมที่ผิดปกติลูกค้าไม่ต้องชําระเงินและทางธนาคารจะไม่มีการคิดค่าทําธุรกรรมหรือดอกเบี้ยด้วย ใครที่เป็นผู้เสียหายแล้วยังไม่ได้เงินคืนติดต่อธนาคารเจ้าของบัตรของท่านได้เลยนะครับ แต่ชาวเน็ตเขาก็ยังออกมาตั้งข้อสงสัยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาบอกว่ามิชฉาชีพจะใช้บอทสุ่มเลขบัตร16หลักและเลขCVCจํานวน3หลัก มันจะใช่หรอแล้วการจะทําธุรกรรมมิชฉาชีพต้องรู้ชื่อเราและทราบวันหมดอายุบัตรซึ่งมันไม่น่าจะสุ่มได้แล้วแบบนี้มิชฉาชีพรู้ชื่อเจ้าของบัตรกับวันหมดอายุบัตรได้ยังไง ชาวเน็ตเขาก็สันนิษฐานว่ามันน่าจะรั่วไหลออกไปอยู่แล้ว มีอีกประเด็นคือการสุ่มเลขCVCมันต้องสุ่มเป็นร้อยๆครั้งหากใส่เลขCVCผิดเยอะขนาดนร้ทางธนาคารไม่สงสัยหรอทําไมไม่มีระบบป้องกันการสุ่มเลขCVCเลย สรุปเรื่องนี้ใครเป็นคนทํา ตํารวจบอกว่ายังไม่ทราบน่าจะเป็นคนไทยเพราะรู้จักพฤติกรรมและนิสัยการใช้เงินของคนไทยเป็นอย่างดีตอนนี้ตํารวจต้องไล่ตามเงินไปเรื่อยๆก่อนว่าสุดท้ายจะไปจบที่บัญชีไหน เราจะป้องกันเงินหายจากธนาคารได้อย่างไร? ก็ซื้อประกันเงินหายจากธนาคารไง คืออะไรต้องเสียเงินเพื่อป้องกันเงินในบัญชี คนก็งงว่าเราเอาเงินไปฝากธนาคารก็ต้องมีความปบอดภัยสิทําไมต้องซื้อประกันด้วยระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคารมันไม่ดีหรือไง แล้วเราจะเอาไปฝากทําไม ทางธนาคารเจ้าที่ขายประกันเงินภายหลังก็ได้ออกมาขอโทษและบอกว่าประกันนี้มีมาก่อนเกิดเรื่องเงินหายซึ่งธนาคารก็เอาโฆษณาลงเรียบร้อยแล้ว เลยก็ข้อสงสัยว่าจะซื้อไปทําไม่เนี้ย เข้าเรื่องวิธีป้องกันเงินหายล่ะแนะนําควรมี2บัญชี1บัญชีเอาไว้ฝากไม่ต้องทําบัตรทําแอปเวลาถอนจะได้ถอนยากๆ เงินจะไม่หาย ส่วนอีกบัญชีก็เอาไว้ใช้ทําธุรกรรมปกติใช้ทําธุรกรรมออนไลน์ได้ เพราะเรื่องส่วนใหญ่มันมักจะเกิดกับบัญชีที่เราเอาไปผูกกับแอปพลิเคชันไว้หากเกิดความเสียหายจะได้ไม่เยอะมาก และนี้ก็คือสรุปก็นี้เงินหายให้เข้าใจและป้องกันตัวได้อย่างถูกต้องส่วนตัวคิดว่าทางธนาคารน่าจะมีระบบรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สินลูกค้าให้ดีกว่านี้อยากให้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับเพื่อนๆไม่มากก็น้อยๆ สําหรับใครที่ชื่นชอบในผลงานก็ฝากติดตามกันไว้ได้เลยนะครับขอบคุณครับ ✅บทความโดย เขียนมั่ว ✅ 📒อ่านบทความอื่นได้ที่นี้⬇️ https://creators.trueid.net/@storystory เครดิตภาพ ภาพปกโดย เขียนมั่ว ออกแบบด้วยCanva ภาพประกอบที่1 โดย geralt จาก Pixabay ภาพประกอบที่2 โดย ribkhan จาก Pixabay ภาพประกอบที่ 3 โดย mohamed_hassan จาก Pixabay ภาพประกอบที่ 4 โดยID8385 จาก Pixabay (ภาพไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใช้เป็นภาพประกอบเนื้อหาเท่านั้น) ขอขอบคุณภาพจาก https://pixabay.com/th/ 🔥ช่องทางการสนับสนุนเขียนมั่ว🔥 Truemoneywallet คลิกตรงนี้ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 020196173205 🙏ขอบคุณสําหรับการสนับสนุนขอบคุณครับ🙏 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !