9 บริหารเสน่ห์…ให้ได้ใจ ยอดมนุษย์เงินเดือน/ เสน่ห์ที่ 3: ยิ้ม…อาวุธมหาเสน่ห์ขึ้นหัวข้อมาแทบไม่ต้องแปลความหมายว่า หมายถึงอะไร เวลาเราพบเจอใคร คงไม่มีใครที่จะเจอหน้ากันแล้วทักทายด้วยการร้องไห้ให้กัน คงแปลกพิลึกน่าดู ฝ่ายตรงข้ามคงคิดว่าคนนี้แปลกหรือไม่ก็เป็นบ้าแน่ ๆ"ยิ้ม" ถือว่าเป็นเสน่ห์ที่ต้องมีติดตัวเราทุกคนอยู่แล้ว ยิ้ม…เป็นการสร้างความประทับใจแรกเห็นกับทุกคน คงไม่มีใครคิดจะด่าเราถ้าเรายิ้มให้ คุณเคยยิ้มกับทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์ได้หรือไม่? ไม่ว่าจะกำลังโดนต่อว่า แค่หน้าคุณยิ้ม หรือนิ่งเงียบ แต่ไม่ใช่ว่าขณะที่โดนต่อว่า เราก็หัวเราะเสียงดังออกมา…แบบนี้เขาไม่หยุดต่อว่า และด่าเราต่อไม่หยุดแน่นอน และกล่าวหาว่าเราบ้า ไอ้นี่หูทวนลม เผลอ ๆ อาจรับซองขาวทันที แต่การที่เรานิ่ง อมยิ้ม เน้นแค่อมยิ้ม…ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเรากำลังฟังเขาอยู่นะ แต่ในใจ ในสมองต้องคิดว่าฉันจะตอบโต้ หรือตอบกลับอย่างไรดี…วิธีนี้ต้อง ฝึกฝน…ฝึกฝน…ฝึกฝน…ฝึกฝน และ ฝึกฝนตอนเช้า ๆ ลองมองกระจกก่อนที่เราจะออกมาทำงาน ดูว่าวันนี้หน้าตาเราเป็นอย่างไร มีรอยยิ้ม สดใส หรือ ห่อเหี่ยว…ให้เราปรับความรู้สึก โดยการคิดเรื่องดี ๆ เรื่องที่ทำให้เรามีความสุข หรือฟังเพลงเย็น ๆ สบาย ๆ ในรถขณะขับมาทำงาน หรือนั่งรถไฟฟ้า หรือส่งลูกไปโรงเรียน คนที่มีลูกก็ถือโอกาสพูดคุยกับลูก ทำให้เราได้กำลังใจและสร้างพลังบวกให้เราดำเนินชีวิตในวันนี้อย่างมีความสุขได้ เวลาที่ไม่สบายใจ ท้อแท้ บางครั้งการฟังเพลงอาจจะลองฟังเพลงร็อคดัง ๆ ให้มันสะใจไปเลย จะทำให้สมองเราไม่มีพื้นที่ว่างพอ หรือทดแทนสิ่งที่เราเครียดอยู่ และที่สำคัญคือ ธาตุไฟไม่เข้าแทรก…หรือบางอารมณ์การใช้ธรรมะหรือการนั่งสมาธิก็ดีไม่น้อย ลองสวดคาถาชินบัญชรสัก 1 จบก็สามารถช่วยได้เช่นกันบางคนมีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้ามาตั้งแต่กำเนิด ถือว่าโชคดีที่ได้ทรัพย์สินที่พ่อแม่ให้มา…แต่บางคนอาจเรียกได้ว่าเป็นเสือยิ้มยาก การฝึกฝนด้วยการมองที่หน้ากระจกแล้วยิ้ม ฝึกบ่อย ๆ ทุกเช้า ทุกวัน อย่ากลัวว่าจะมีใครคิดว่าเราบ้า ไม่ต้องสนใจเพราะมันเป็นประโยชน์กับเรา หรือถ้าเมื่อวานเราโดนต่อว่ามาแล้วเรารู้สึกว่าเสียใจ จิดใจห่อเหี่ยว เครียด นอนไม่หลับ ให้คิดเสมอว่า "พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว" ตื่นมาด้วยการมองกระจกและสัญญากับตัวเองว่า วันนี้เป็นเช้าวันใหม่ ชีวิตใหม่ สู้และรับมือให้ได้ด้วยรอยยิ้ม แล้วเราก็ไปทำงานได้เลยการที่เรามีใบหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม แสดงให้เห็นว่า เราเป็นคนมีเมตตา เป็นคนคิดบวก พร้อมที่จะรับมือกับปัญหาได้ทุกเรื่อง เหมือนตอนที่เคยโดนเจ้านายต่อว่า ถ้าเราโต้ตอบทันที นายก็อาจจะคิดว่าเรากำลังแก้ตัว และในขณะนั้นอารมณ์นายก็ยิ่งฉุนเฉียวขึ้นไปอีก ไปไกลกว่าที่เราคิด เพราะบางครั้งเรายังงง ๆ อยู่ว่าเราทำผิดอะไร ทำไมถึงโดนต่อว่า และบางครั้งโดนฝากให้ไปต่อว่าคนอื่นแทนด้วย…การยิ้มและนิ่ง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามพูดจนหมดแรง และเหนื่อยหยุดไปเอง…จังหวะนี้ให้เราสังเกตดี ๆ และอย่างมีสติ สมองตอนนั้นต้องคิดแบบอัตโนมัติว่า เราจะแก้ไขสถานการ์อย่างไร ด้วยเหตุผลอะไร และเมื่อได้จังหวะเราก็สามารถพูดกลับไปได้เลย"ขอโทษครับ…ขอโทษแทนทีมครับ เดี๋ยวผมจะดำเนินการแก้ไขให้ครับ เดี๋ยวผมจะติดตามให้งานเสร็จภายใน …วันครับ" หรือถ้าคิดออกว่าเรามีข้อมูลที่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่นายฟังคนอื่นมาและข้อมูลถูกให้มาแบบผิด ๆ (ปกติจะเรียกคนเหล่านี้ว่า "ผู้หวังดี") ถ้าเป็นแบบนี้เราสามารถตอบกลับได้ทันที แต่ต้องรอจังหวะดี ๆ "ขอโทษครับ…แต่เท่าที่ผมรวบรวมข้อมูลและรู้มาต้องเป็นอย่างนี้ครับ ……" เพียงแค่นี้ คนฟังก็จะยุติการสนทนา เพราะไม่มีเรื่องที่จะพูดแล้ว พูดไปหมดแล้ว แล้วเราค่อยไปเม้าท์แตกทีหลัง…ไม่ใช่…ไม่ใช่หลายคนที่เคยเห็นใบหน้าผู้เขียน แทบทุกคนบอกว่า เป็นคนหน้าตาดี…ไม่ใช่…เป็นคนน่าคบ น่าคุย เพราะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ ขอเสริมอีกเรื่อง คือ เราต้องหัดเป็น "คนช่างสังเกต" สังเกตให้เป็น สังเกตบ่อย ๆ ว่าคนโน้นเป็นอย่างนี้…คนนี้เป็นอย่างนั้น เราขับรถหรือเดินไปไหน ต้องมองซ้ายมองขวา ว่าวันนี้เรากำลังผ่านที่ไหน มีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้น มีอะไรพิเศษหรือไม่ เช่น ร้านนี้ วันนี้ได้เปลี่ยนดีสเพลย์ใหม่ บิลบอร์ดป้ายนี้เมื่อวานยังโฆษณาอยู่เลย วันนี้ป้ายว่างไปแล้วลองเอาเทคนิคการสังเกตแบบนี้มาฝึกการสังเกตคนรอบข้างดู ว่าวันนี้ทรงผมเธอเปลี่ยนไป สวยขึ้น หรือสวยแจ่มเลย…วันนี้เธอแต่งตัวดีจัง วันนี้ทำไมเธอหน้าตาแปลก ๆ นะ วันนี้เธอหน้าตาดีขึ้นไปทำอะไรมา วันนี้ทรงผมเธอเหมาะกับใบหน้าจัง…เมื่อฝึกฝนแบบนี้แล้วลองสังเกตว่าคนนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลง คนนี้ชอบแต่งตัว คนนี้ชอบเม้าท์ คนนี้ชอบคุยเรื่องการเมือง คนนี้ชอบเรื่องธรรมะ…คนนี้เป็นคนนิสัยอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ชอบสอน…นั่นหมายความว่าเราต้องวิเคราะห์ให้เป็นด้วย ไม่ใช่สังเกตเพียงอย่างเดียวการวิเคราะห์นั้น ต้องวิเคราะห์ให้เป็นระบบว่า เขาเป็นคนแบบนี้เพราะอะไร มีเจตนาอย่างไร เขาตั้งใจเป็นอย่างนี้จริง ๆ หรือนิสัยเขาติดตัวมาแต่กำเนิด…เมื่อเราสังเกตและวิเคราะห์ได้ ก็นำสิ่งที่เราสังเกตและวิเคราะห์นี้มาใช้ในการพูดคุย บวกกับการใช้รอยยิ้มอย่างมิตรไมตรี บนใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และรับฟังอย่างเต็มใจ สุดท้าย…จะนำไปสู่การพูดคุยที่มีประสิทธิภาพ และได้ประสิทธผลแน่นอน…คอนเฟิร์มขอขอบคุณภาพประกอบจากwww.pexels.comภาพประกอบที่ 1:https://images.pexels.com/photos/1632788/pexels-photo-1632788.jpeg?cs=srgb&dl=pexels-1632788.jpg&fm=jpgภาพประกอบที่ 2:https://images.pexels.com/photos/774866/pexels-photo-774866.jpeg?cs=srgb&dl=pexels-774866.jpg&fm=jpgภาพประกอบที่ 3:https://images.pexels.com/photos/4498156/pexels-photo-4498156.jpeg?cs=srgb&dl=faceless-4498156.jpg&fm=jpgภาพประกอบที่ 4:https://images.pexels.com/photos/3771107/pexels-photo-3771107.jpeg?cs=srgb&dl=pexels-3771107.jpg&fm=jpg