หลังจากได้ฝึกสังเกต และวิเคราะห์คนบ่อย ๆ ก็ถึงเวลาที่พร้อมออกสู่สนามรบจริงกัน...เสน่ห์ที่ 4 คือ การรู้จักวิธีการพูดให้เป็น รู้จักพูดในสิ่งที่คนฟังอยากได้ยิน ไม่ใช่พูดเรื่อยเปลี่อยไปไหนไม่รู้ วนแล้ววนอีก ร้อยแปดพันเก้า แล้วสุดท้ายเราเองหาทางจบไม่ได้เรื่องการพูดให้เป็นในอดีตกาลนานมาแล้ว มีคำกล่าวว่า "อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก...แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย..."คำพูด ถือว่าเป็นการสร้างเสน่ห์ที่หาคนต้านทานได้ยาก ไม่ว่าเราจะพูดดี หรือพูดให้ร้ายใคร คำพูดสามารถเปลี่ยนสถานการณ์จากบวกเป็นลบ และจากลบเป็นบวกได้ในเวลารวดเร็วนอกเหนือจากการยิ้มแล้ว การพูดก็ถือว่าเป็น วิธีสร้างความประทับใจแรกเห็น และเป็นเสน่ห์ได้เช่นกัน ยิ่งถ้าใช้ร่วมกันแล้วละก็...ไม่มีใครขวางทางคุณได้ เช่น เวลาเราพบเจอกันแล้วกล่าวทักทาย..."สวัสดีครับ/ค่ะ...สบายดีหรือเปล่าครับ/คะ" จะยิ่งดีถ้าเราจำชื่อเขาได้ และเรียกชื่อเขาทุกครั้ง "สวัสดีครับ...คุณทักษิณี...ไปไหนมาครับ" "คุณอั้ม...ช่วยอะไรหน่อยได้มั้ยคะ" "พิ้งกี้...เย็นนี้ไปทานข้าวกันนะ" "Congratulation คุณฌอนย่า ที่ได้รับโปรโมทตำแหน่งสูงขึ้น"เห็นหรือไม่ว่าในแต่ละคำทักทายซ่อนอะไรอยู่...ติ๊กต็อก...ติ๊กต็อก...ติ๊กต็อก...ก็ "ชื่อ" นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็สร้างความรู้สึกที่ดีซ่อนอยู่ใช่หรือไม่ ลองคิดดูว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร? ถ้ามีคนมาเรียกชื่อคุณทุกครั้งที่มาพบเจอและพูดคุยกัน แน่นอน...ความรู้สึกดี ๆ เกิดขึ้นแน่ว่ายังมีคนจำชื่อเราได้ แปลว่าเขาสนใจเราและใส่ใจเรานั่นเองในทางกลับกัน...คุณลองเริ่มหัดจำชื่อคนอื่น คนรอบข้าง และเริ่มทักทายด้วยชื่อเขาบ้างการพูดไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องฝึกฝน...ฝึกฝน...ฝึกฝน...ดังนั้น จะทำอย่างไรบ้างที่จะทำให้เราพูดได้อย่างมั่นใจ...ตามมาอ่านกันครับมีสติทุกครั้งที่จะพูด หรือคิดก่อนพูด คิดว่าพูดไปแล้วคนฟังรับได้หรือไม่ และจะกระทบคนอื่นหรือเปล่า หลาย ๆ ครั้งเราพูดไปแล้ว พูดจบก็ต้องบ่นกับตัวเองว่า ไม่รู้พูดไปทำไม ไม่สร้างสรรค์เลย...คุณเคยหรือไม่ชัดเจนในใจความที่อยากพูด หรือพูดให้ได้ใจความและพูดเข้าใจง่าย อาจจะมีตัวอย่างประกอบและอ้างอิง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือหรือเป็นการตอกย้ำ...หรือพูดง่าย ๆ คือการพูดให้รู้เรื่อง...ยากเหมือนกัน แต่ต้องลองดู โดยให้ฝึกพูดเป็นประเด็น ๆ ไปถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องกลัว...บอกตรง ๆ ว่า "ไม่รู้" แล้วจะค้นคว้ามาตอบ และไม่ต้องเดา เพราถ้าฝ่ายตรงข้ามมีความรู้เรื่องในสิ่งที่เรากำลังเดา ก็จบเห่ทันทีโฟกัส ในประเด็นที่อยากรู้ อยากได้คำตอบ เราต้องมุ่งมั่นหาวิธีพูดตรง หรือหาวิธีพูดอ้อม ๆ แบบต้องผ่านแม่น้ำหลายสาย แล้วถึงจะกลับมาในประเด็นที่อยากได้ เพื่อให้ได้คำตอบเมื่อพูดประกอบรอยยิ้ม และประกอบกับการที่รู้เขารู้เรา จะทำให้การพูดนั้นไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ฟังเพลิดเพลิน เพราะเป็นเรื่องที่อยากฟัง พร้อมกับการเห็นใบหน้าที่แสดงถึงความเป็นมิตร...ยกเว้น ถ้าเป็นเรื่องที่ซีเรียส ก็อาจจะต้องเก๊กหน้าหน่อยให้ดูว่าเครียด...ไม่ใช่ยิ้มเริงร่า เดี๋ยวจะหาว่าเราไปดูถูกเขาฝึกการพูดบวก...คนฟังรื่นหู หยุดคำพูดร้าย ที่ทำร้ายจิตใจคน...ใส่บวกให้คนอื่น ไม่ใช่ใส่ไฟ เพื่อที่ตัวเองรอด หรือกลายเป็นการโยนงานให้คนอื่น หรือผลักงานให้พ้นตัว...ตัวอย่างหนึ่ง...ขณะที่กำลังโดนเจ้านายต่อว่า.."นี่เธอทำงานไม่ได้เรื่องเลยทั้งลูกพี่ลูกน้อยเลย ดูสิแม่ปูเป็นอย่างไร ลูกปูก็เป็นอย่างนั้น" อีกฝ่ายที่ถูกต่อว่าก็สวนกลับทันทีว่า "แม่ปูปกติก็เดินเอียง ๆ ลูกปูก็เดินเอียง ๆ ตามไป เห็นมั้ย...อย่างน้อยมันก็เดินไปในทิศทางเดียวกัน...เดินเอียง ๆ เหมือนกัน นั่นหมายถึงปูก็ยังมีความสามัคคีเหมือนกันนะครับ" อีกตัวอย่าง คือ "อ๋อ...ข้อมูลยังไม่ครบถ้วน ไม่สมบูรณ์ เดี๋ยวถ้าพี่ฟังแล้วฟังไม่รู้เรื่องแน่นอน ผมขอกลับไปเตรียมข้อมูลมาให้พร้อมก่อนนะครับ แล้วค่อยกลับมาคุยกับพี่ต่อ"ชมเป็นหรือไม่? คำชมที่มัดใจ ฝึกพูดบ่อย ๆ จะทำให้เรากลายเป็นคนพูดบวกโดยอัตโนมัติ พูดชมคนบ่อย ๆ เพราะเราทุกคนชื่นชอบคำชมอยู่แล้ว ควรหัดชมคนให้ได้อย่างน้อยวันละหนึ่งคน..."คุณปลื้ม เป็นคนมีระเบียบมากครับ" ไม่ใช่ "คุณปลื้ม คุณนี้ชอบจุ้นจ้านจริง ๆ"..."โอโห...วันนี้คุณหญิง แต่งตัวสวยมาก ๆ เลยครับ" ไม่ใช่ "โอโห...ใส่ได้อย่างไรเสื้อผ้าแบบนี้"..."คุณตี๋ เป็นสุภาพบุรุษจังเลย" ไม่ใช่ "คุณตี๋ ทำไมชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน"..."รอยยิ้มคุณพ่อ ทำให้วันนี้โลกดูสดใสจริง ๆ" ไม่ใช่ "จะยิ้มทำไม ไม่ทราบคุณพ่อขำมากนักเหรอครับ"..."วันนี้ คุณตุ้ยนุ้ยสวยจังค่ะ" ไม่ใช่ "วันนี้ คุณตุ้ยนุ้ยดูแปลกดีนะ"..."วันนี้ เพื่อนดูเซ็กซ์ซี่นะ" ไม่ใช่ "วันนี้ น..ม..หกเลยนะเพื่อน"หัดโปรยคำพูดที่ใส่ใจและห่วงใย...เมื่อเขากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาที่หนักอึ้งอยู่ คุณควรเข้าไปถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่ ให้คำปรึกษาเขา...เมื่อเขารู้สึกท้อแท้ ผิดหวัง คุณควรพูดให้กำลังใจเขา "พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว...คิดอะไรมากมาย" และทุกครั้งที่มีคนมาขอคำปรึกษา เราควรให้คำปรึกษาแบบจริงใจและเต็มใจฝึกพูด 2 คำนี้บ่อย ๆ "ขอบคุณ" และ "ขอโทษ"...แลเพกเก็บไว้ในสมองเราตลอดเวลา แล้วนำออกมาใช้ให้เป็นนิสัย ขอบคุณด้วยความจริงใจ เป็นการแสดงน้ำใจและความรู้สึกดี ๆ ที่เราอยากให้อีกฝ่ายหนึ่งที่เขาอุตส่าห์เข้ามาช่วยเหลือเรา ซึ่งเราไม่ทราบหรอกว่าเขาเต็มใจหรือไม่ก็ตาม...ส่วนคำขอโทษ เป็นการแสดงถึงความเสียใจในสิ่งที่เราผิด หรือทำผิดพลาดไปแล้ว เพื่อเป็นการขอความเห็นใจและเมตตาเป็นอย่างไรครับ...ต้องอ่านซ้ำอีกหลาย ๆ รอบ แล้วฝึกฝน...ฝึกฝน...ฝึกฝน..แล้วจะทราบว่าการพูดเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้เราได้...โดยเฉพาะยอดมนุษย์เงินเดือน...คราวหน้าจะเป็นการสร้างเสน่ห์ด้วยการเป็น นักฟังที่ดี ฟังอย่างมีเสน่ห์ เป็นอย่างไร...ติดตามกันครับ ขอขอบพระคุณภาพประกอบจาก www.pexels.comภาพประกอบที่ 1: https://images.pexels.com/photos/2173508/pexels-photo-2173508.jpeg?auto=compress&cs=tinysrgb&dpr=2&h=650&w=940ภาพประกอบที่ 2: https://images.pexels.com/photos/1181712/pexels-photo-1181712.jpeg?auto=compress&cs=tinysrgb&dpr=2&h=650&w=940ภาพประกอบที่ 3: https://images.pexels.com/photos/3184422/pexels-photo-3184422.jpeg?auto=compress&cs=tinysrgb&dpr=1&w=500ภาพประกอบที่ 4: https://images.pexels.com/photos/1236678/pexels-photo-1236678.jpeg?auto=compress&cs=tinysrgb&dpr=1&w=500