เสน่ห์ที่ 5 ของยอดมนุษย์เงินเดือน: ฟังให้เป็นคนเราได้เรียนรู้ถึงวิธีการพูดมาตั้งแต่เข้าโรงเรียน หรือพ่อแม่สอนให้พูดตั้งแต่เล็ก ๆ ยิ่งถ้าสามารถเรียก "พ่อ...แม่...ป่าป๊า...ม่าม้า" คุณพ่อคุณแม่ ญาติมิตรล้วนแสดงความดีใจเป็นที่สุด เช่นเดียวกัน...เมื่อเราพูดกับใคร ให้คิดเสมอว่าจะพูดอย่างไรให้คนฟัง ฟังแล้วดีใจอยากฟังต่อ ดังนั้นเมื่อมีการพูดแล้ว "การฟัง" ก็จะเป็นสิ่งที่คู่กันเสมอ ลองคิดดู...หากเราเอาแต่พูด พูด พูด โดยไม่สนใจว่าคนฟังจะฟังหรือไม่...ฉันขอพูดเรื่องฉันให้เสร็จก่อน และไม่สนใจว่าเขาจะฟังหรือไม่ แต่ฉันต้องพูดให้เสร็จ...แบบนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นหลังเราพูดเสร็จ...ลองคิดดู"การฟัง"...เปรียบเสมือนเป็นการฝึกความอดทนแขนงหนึ่ง...บางครั้งเราอยู่ในห้วงเวลาที่ไม่อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวายในขณะนั้น ต่อให้ใครมาพูดอะไร เราก็ไม่อยากฟัง...หรือฟังแล้วสมองเรากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่...จะทำให้เราใจลอยและสมองก็ตีความหมายมากมายไปหมด แม้ว่าเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม แบบนี้เรียกว่า "Mind Talk" หรือ "คิดเอาเอง"ในเมื่อเรารู้แล้วว่า "การพูดกับการฟังเป็นสิ่งคู่กัน" มักจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน เราต้องพูดในเรื่องที่ชวนฟัง และต้องรู้จักเปลี่ยนจากการพูดมาเป็นคนฟังที่ดี...ก็จะทำให้เรามีเสน่ห์ที่ใคร ๆ ก็อยากจะเข้าใกล้และเข้าหาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เราต้องฝึกฝนให้เป็นคนฟังที่ดี และฟังให้นานมากกว่าเป็นคนที่พูดเก่งเคล็ดลับการฟังที่ดี...คือ- "พูดให้น้อย...ฟังให้มาก" เราไม่ควรเป็นคนพูดฝ่ายเดียว ลดจำนวนคำพูดของเราลง ปล่อยและเปิดโอกาสให้การพูดเป็นของอีกฝ่ายด้วย ฟังให้รู้ประเด็นและค้นหาวิธีตอบกลับให้ได้อย่างมีหลักการ และมีเหตุมีผล...ขณะที่เราอยู่ในระหว่างการโดนต่อว่าอยู่ ยิ่งต้องเป็นผู้ฟังที่ดี เพื่อจับประเด็นว่าเราโดนต่อว่าเรื่องอะไรอยู่ สมองต้องทำงานไปพร้อม ๆ กับการหาคำตอบ หาทางออกของเรื่องนั้น ๆ เราต้องฟังอย่างตั้งใจ (อาจแสดงสีหน้าที่เขาจับผิดเราไม่ได้ว่า เรากำลังโกรธอยู่) และรอเวลาเมื่อเขาพูดจบ ก็เป็นเวลาเราที่จะตอบกลับ...แต่ต้องแบบมีสติ- "ตั้งใจฟังอย่างสนใจ" อย่าขัดจังหวะระหว่างที่เขายังพูดไม่จบโดยการสวนกลับเขาทันที หรือขัดจังหวะระหว่างเขาพูด (โดยเฉพาะถ้าเป็นนายเรา) แบบนี้บ่งชี้ได้ว่า เราไม่มีมารยาท หรือเขาอาจจะคิดว่าเรากำลังไม่ให้เกียรติ...เราต้องเงียบ ฟังอย่างตั้งใจ สนใจ และใส่ใจในเนื้อหา หรือฟังอย่างมีสมาธิ- "ต้องมีท่าทางประกอบการฟัง" เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราสนใจเขาอยู่ ไม่ใช่เรากำลังยุ่งอยู่กับงานเอกสารอย่างหนึ่งอยู่ เขามาคุยด้วย เราก็ยังไม่สนใจและทำงานต่อไป ถึงแม้ว่าหูฟังเขาอยู่ก็ตาม...แบบนี้ไม่ดีเท่าไหร่...เราต้องมีการสบตาเขาด้วยเพื่อแสดงว่าเราตั้งใจฟังอยู่ ไม่ใช่ว่าฟังเขาอยู่แต่สายตามองไปทางอื่น ดูไปทั่วห้อง หรือมองคนที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมา...แต่ในทางกลับกัน วิธีนี้สามารถใช้ได้เมื่อเราไม่อยากคุยกับคนนี้ แต่ต้องใช้เทคนิคนี้แบบมีจังหวะ และอย่างระมัดระวัง ไม่เช่นนั้น...เขาจะไม่หวนกลับมาคุยกับเราอีก แต่ถ้าเราต้องคุยกับเจ้านาย หรือคนสำคัญ...การสบตา...เป็นการช่วยให้เรารู้ถึงสถานการณ์บางอย่างที่คุณสามารถคาดหมายได้ว่า อะไรกำลังจะเกิดขึ้นในเวลานั้น หรือเขากำลังหลอกเราอยู่ เพราะสายตาที่วอกแวกอยู่- "ต้องถามด้วย" อย่าทำตัวเป็นหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิต...นิ่งเงียบตลอด...พยักหน้าอย่างเดียวตลอดการฟัง ยกเว้น...สามารถใช้ได้ขณะที่กำลังโดนต่อว่าอยู่...เป็นการทำให้ฝ่ายตรงข้ามพูดจนเหนื่อยเดี๋ยวก็หยุดไปเอง...การถามในขณะสนทนา ทำให้เกิดอรรถรสในการพูดคุย เป็นการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น เป็นการช่วยให้เรื่องที่กำลังไม่เข้าใจ ได้รับความกระจ่างขึ้น...ทำให้คู่สนทนารู้สึกอยากพูดและอยากเล่า หรืออยากตอบคำถามด้วยความเต็มใจผมมีตัวอย่าง...เพื่อนพี่สาวเคยเล่าให้ฟังว่าเคยตกอยู่ในเหตุการณ์ไฟไหม้ พี่เล่าให้ฟังถึงนาทีระทึกที่เขาเจอ เพราะคืนนั้นเขากำลังทำงานอยู่ชั้นใต้ดิน ตอนเกิดเหตุการวุ่นวาย ไฟกำลังรุกไหม้ชั้นบน คนวิ่งเพื่อหนีตายเอาชีวิตรอด พี่กำลังอยู่ในภาวะตกตะลึงและตกใจ ทำอะไรไม่ถูก จะวิ่งหนีก็เจอแต่คนเต็มไปหมด ณ เสี้ยวนาทีนั้น...มือกำพระที่ห้อยคอ อธิฐานขอความช่วยเหลือ "ลูกมีภาระอีกมากมายที่ต้องไปทำ ต้องไปหาเงินช่วยเหลือครอบครัว ภาวนา...ภาวนา...ภาวนา" เราก็ถามต่อว่าแล้วอย่างไรต่อ แล้วมีวิธีอะไรที่ทำให้พี่รอดปลอดภัยในวันนั้นได้...พี่เล่าต่อว่า "มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ได้ "สติ" กลับมา มือก็กำพระอยู่ตลอดเวลา นึกได้ถอดเสื้อออกแล้วนำไปห้องน้ำและชุบน้ำให้ชุ่ม นำมาปิดจมูกเพื่อไม่ให้สำลักควัน แล้วพิงกำแพงเพื่อหลบคนที่กำลังวิ่งหนีตายกัน ไม่เช่นนั้นมีสิทธิ์โดนชน ล้มและโดนเหยียบแน่นอน...นาทีนั้น สมองสั่งการให้ เราต้องหนี หนีให้รอด พี่ก็ตัดสินใจนับ หนึ่ง...สอง...สาม วิ่งผ่านช่องเล็ก ๆ พร้อมอธิฐานในใจว่า ลูกไม่เคยขออะไรท่าน...ขอให้ลูกรอดด้วยเทอญ...สามก้าวเจอทางออก...พี่เก็ตัดสินใจวิ่งออกมาโดยเอามือสองข้างปิดหน้าไว้ เผื่อว่าจะชนกระจกหรือมีไม้ที่อาจโดนไฟไหม้หล่นลงมา"...ผมก็ถามต่อว่า "ต้องวิ่งผ่านศพเหรอครับ" พี่เล่าต่อว่า "กระโดดสามก้าว...ข้ามศพ น่าจะมีมากกว่า 30 ศพที่ขวางทาง ระหว่างวิ่งอย่างสุดแรง ได้ยินเสียงร้องโอดครวญอยู่ด้านล่าง เลยช่วยเหลือเขาออกมาด้วยกัน...แต่จริง ๆ เขาน่าจะร้องเพราะรองเท้าที่พี่เหยียบหน้าเขาอยู่"...แหมมึมุขด้วย...แต่ตอนนั้นน่าจะไม่มีเวลาหัวเราะนะครับ ผมได้พูดแซวไปคุณได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง...สิ่งที่ผมต้องการสื่อคือ การทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี และมีการถามบ้าง แซวบ้าง เป็นช่วง ๆ เพื่อต่อยอดและคลี่คลายปัญหาบางอย่างที่เราอยากรู้เพิ่ม และเรื่องนี้ยังทำให้เรารู้ว่า การมีสติอยู่ที่ตัว เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ทำให้สมองสั่งการได้อย่างเป็นระบบ และแก้ปัญหาให้คลี่คลายลงไปได้ดังนั้น การฟังที่ดี...ฟังให้เป็น ถือเป็นเสน่ห์ที่ติดตัวเรามา และใช้คู่กับการพูด จะทำให้ยอดมนุษย์เงินเดือนแบบเรา มีเสน่ห์ที่โดนใจคนทุกคนแน่นอน ขอขอบคุณภาพประกอบดี ๆ จาก www.pexels.comภาพประกอบที่ 1: pexelsภาพประกอบที่ 2: pexelsภาพประกอบที่ 3: pexelsภาพประกอบที่ 4: pexels