มีโอกาสได้ชมแอนิเมชันแฟนตาซี ฆีบาโร่ กำกับและเขียนบทโดย อัลเบร์โต เมียลโก (Alberto Mielgo) ผู้กำกับมือรางวัลเอมมี่ ในปี 2019 จากผลงาน The Witness ส่วน ฆีบาโร่ เป็นหนึ่งในซีรี่ส์สั้นปรากฎอยู่ในซีซั่น 3 ของโครงการหนัง Love Death and Robots ลงทางจอ Netflix ทั้งภาพที่ดูสวยสมจริงน่าตื่นตาตื่นใจและเนื้อหาที่แฝงแง่คิดน่าสนใจโดยมีเค้าโครงเรื่องมาจากตำนานปีศาจไซเรนในเทพนิยายกรีก/ Siren (mythology) ที่คอยล่อหลอก สะกดจิตผู้คนที่ได้ยินเสียง ให้เดินเข้ามาหาความตาย ต่างกันตรงที่ว่าเวอร์ชั่นนี้ ฆีบาโร่ไม่มีหางและปีกเหมือนในตำนานแต่มีร่างกายประดับด้วยเกล็ดทองคำแต่ผู้สร้างได้มีการเพิ่มเนื้อหาในเรื่อง ความรักการทรยศ หักหลัง เข้ามา และเทคนิคการถ่ายทำสร้างภาพสั่นไหว ไม่มีบทพูด มีแต่เสียงพื้นหลังของบรรยากาศโดยรอบ เสียงที่ออกมาจากตัวละครก็เป็นเสียงที่วุ่นวายโกลาหล และใช้เสียงกรีดร้องกระแทกโสดประสาท แทนที่จะเป็นเสียงไพเราะน่าฟังเหมือนไซเรน และโดยรวมทั้งหมด ทำให้เกิดบรรยากาศความอึมครึม อึดอัด และอันตราย ที่ขัดแย้งกับความสวยงาม มหัศจรรย์ของฉาก เสียงกรุ้งกริ้งจากเครื่องประดับสีทองที่ให้ความรู้สึกมีมนต์ขลังชวนฝัน มโนภาพของความรักที่มีคุณค่า แต่เมื่อรักไม่เป็นหรือคิดจะหาประโยชน์จากความรัก รักนั้นก็กลายเป็นหายนะได้อีกแง่มุมของความรัก ความสัมพันธ์ที่นำไปสู่ความล้มเหลว (Toxic Relationship) จึงได้ถูกนำเสนอ ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกคือฆีบ่าโร (ปีศาจไซเรน) ที่มีพลังเสียงเป็นอาวุธ และอัศวินหนุ่มหูหนวก การที่ไม่สามารถได้ยินเสียง เลยกลายเป็นโล่ป้องกันทำให้ไม่ต้องกลายเป็นเหยื่อของนาง และนี่จึงทำให้เขากลายเป็นตัวเลือก ในการขยับชั้นจากเหยื่อ มาเป็นคู่สืบสัมพันธ์ มันคล้ายๆ กับเวลาแมงมุมตัวเมียต้องการผสมพันธุ์ ถ้าตัวผู้ที่เข้ามายังไม่ใช่ตัวที่เหมาะสม ฐานะที่จะได้รับคือเป็นแค่เหยื่ออาหารของเธอ และแม้นว่าตัวเมียจะพอใจตัวผู้และยอมสืบพันธุ์ด้วย ก็ไม่ได้หมายความตัวผู้ตัวนั้นจะรอด ก็มีความเป็นไปได้ 50:50 ว่าจะกลายเป็นเหยื่อเช่นเดียวกัน ความปราถนาแรงขับดันจนยากที่จะข่ม ผลักดันให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายยอมเสี่ยงกับอันตราย เช่นเดียวกับอัศวินที่ตัดสินใจเดินเข้าหาฆีบาโร่ แต่ต่างจากแมงมุมตรงที่ว่า แรงจูงใจของอัศวินคืออย่างอื่น และไม่ใช่สิ่งเดียว กับฆีบาโร่ด้วยเมื่อความสัมพันธ์เริ่มขึ้น จากสัญชาตญานความอยากและมองแต่ความต้องการของตัวเองก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นจึงมีแต่ความเจ็บปวด ความรุนแรง ความไม่เข้าใจ ฝ่ายฆีบาโร่ก็ดูไม่รู้สึกเห็นใจอัศวินในสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าทุกการกระทำของเธอ ล้วนแต่ยัดเยียดความเจ็บปวดให้ โดยเข้าใจว่านั่นคือการแสดงออกถึงคือความรัก ในขณะที่อัศวินก็ยังทนเพื่อความรัก หรืออะไร..? และเมื่อถึงจุดไคลแม็กซ์ของความสัมพันธ์ว่าจะลงเอยแบบใด จะเป็นไปตามชื่อเรื่อง Love and Death แบบไหน ก็อยากให้ลองไปติดตามกันดู รูปแบบความความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปอย่างไม่เข้าใจและไม่พยายามรับรู้ในความคิดเห็นของอีกฝ่าย ต่างฝ่ายต่างมีความปราถนาต้องการที่แตกต่างกัน ไม่พยายามสื่อสารเพื่อปรับการใช้ชีวิตให้อยู่ร่วมกันได้ ท้ายที่สุดก็นำไปสู่การแตกหัก ไม่ได้มีเห็นเฉพาะในความรักหนุ่มสาวเท่านั้น แม้แต่ในครอบครัว ก็มีให้เห็นความรักของพ่อแม่ ที่มีต่อบุตรหลาน สร้างความคาดหวัง เข้มงวดกดดัน หรือไม่ก็ทุ่มเทความรัก และตามใจจนมากเกินไป ด้วยพ่อแม่อาจคิดว่านั่นเป็นการแสดงออกถึงความรักความหวังดี แต่ที่จริงอาจกำลังมองข้ามหรือไม่ได้ใส่ใจกับความรู้สึกจริงๆ ในใจและความต้องการที่แท้จริงของอีกฝ่ายและเมื่อไม่ได้สื่อสารกัน พยายามสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องถึงความหวังดี แต่กลับละเลย มีแต่บังคับ ปล่อยผ่านต่อเสียงเรียกร้อง มีแต่บรรยากาศของความทุกข์ ความอึดอัด และบาดแผลที่กลัดหนองอยู่ในใจ รอวันปะทุ จนถึงวันนั้นก็อาจจะสายไปแล้ว ที่จะเยียวยานอกจากแนวคิดในเรื่องความสัมพันธ์ที่บ่อนทำลายชีวิตแล้ว การเลือกใช้ชีวิตบนพื้นฐานแห่งการหลอกลวงก็ถูกสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน ชีวิตที่เหมือนถูกต้องคำสาบของฆีบาโร่ ไม่อาจหลุดจากวังวงแห่งการลวงหลอกได้ และก็มีผู้คนมากมายในสังคม เลือกที่จะอยู่กับคำลวงมากกว่าบ่อน้ำรูปหัวใจที่ภายนอกดูสวยงามประหลาดตา แต่ภายในกลับถูกหล่อเลี้ยงด้วยเลือดของคนที่กลายเป็นเหยื่อและจิตใจอันอ้างว้าง โดดเดี่ยว เงียบเหงา ที่แสนเจ็บปวด มันก็สามารถเปรียบเป็นสัญลักษญ์ของสภาพสังคมที่ใช้ประโยชน์จากพลังของเทคโนโลยีการสื่อสารไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องอย่างผู้คนที่หลงวนเวียนอยู่ในสังคมแห่งข่าวปลอม แชร์ลูกโซ่ หลอกลงทุนต่างๆ นา สังคมแห่งกระแสเล่นกับความอยากรู้อยากเห็น ยอมให้ตัวเองถูกดูดเข้าไป กว่าจะรู้ตัวว่าทรัพย์สิน เวลา และชีวิตอันมีค่าถูกทำลายไปมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางแก้ไขหรือย้อนเวลาคืนมาได้อีกแล้ว ไม่มีทางที่จะเกิดความสร้างสรรค์ที่ดีงามในกลุ่มคน สังคมที่อยู่ร่วมได้เลย เพราะมันไม่มีกระแสน้ำใสใจจริงคอยหล่อเลี้ยง และในปัจจุบันสภาพการณ์แบบนี้ก็มีให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏให้เห็นตามรายงานข่าวเกือบทุกวัน อาชกรรมทางไซเบอร์รูปแบบใหม่ๆที่หลบซ่อนอยู่ แค่เพียงมีใครไปทำให้ผิวน้ำนิ่งสงบเกิดระลอกพริ้วไหวสร้างกระแสเพียงนิด มันก็สามารถเร้าความสนใจของผู้คน ให้เข้าหา สร้างปัญหาจนลุกลาม เกิดเป็นความเสียหายรุนแรง แก่ผู้คนสังคมที่หลงกระแสในที่สุดการอยู่ร่วมกับคนที่มีพฤติกรรมในลักษณะเช่นนี้ ทางออกที่จะพาเราให้พ้นไปจากปัญหาได้ อาจจะต้องทำตามวิธีที่ปรากฏอยู่ในเทวะตำนานกรีก the Odyssey ตอนที่ออดิซีอุส (Odysseus) กับลูกเรือเอาชีวิตรอดมาจากปีศาจไซเรนด้วยวิธีอุดหู ไม่ยอมฟังเสียง ส่วนตัวออดิอุสเองก็ยอมมัดตัวเองไว้กับเสากระโดงเรือก็อย่างที่อัศวินหูหนวกในตอนแรก ถ้าเขาเลือกที่จะหนีไปเขาอาจจะรอดก็ได้ แต่ถ้าหนีไม่ได้ก็เลือกที่จะไม่คบหาสร้างความสัมพันธ์เป็นดีที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ตกอยู่ในวังวง ร่วมดื่มกินบ่อน้ำเดียวกัน บ่อแห่งความหลอกลวงและหายนะ อย่างที่อัศวินต้องประสบ แต่ถ้าเลือกที่จะฟังเสียงเหล่านั้น อย่างที่ออดิอุสทำ มันก็ควรจะมีหลักยึดเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเอง ในยุคนี้คำว่า Digital Literacy ก็คือหลักยึดนั้นนั่นเอง มันคือทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อโลกยุคดิจิตอล มันไม่ใช่เพียงความรู้ในเรื่องของการใช้อุปกรณ์แค่นั้น แต่ผู้ใช้ต้องรู้ว่าจะใช้มันอย่างไรให้ปลอดภัยกับตัวเองมากที่สุดด้วยเนื่องจากสภาพความเป็นจริงที่โลกเปิดกว้างขึ้นและการกลั่นกรองควบคุมเริ่มไร้ประสิทธิภาพ ความจริงกับความลวงปนเปกัน จนแทบจะแยกไม่ออก อย่างในแอนิเมชั่น เห็นครั้งแรกยังสงสัยเลยว่าฆีบาโร่นี่ใช้คนแสดงจริงหรือเปล่า เพราะผู้สร้างทำได้เหมือนมาก เราจะเห็นแล้วว่า เทคโลยีเดี๋ยวนี้ทำอะไรได้มากมาย และในแง่ที่ไม่ดีมันสามารถใช้หลอกลวงผู้คนได้Digital literacy หรือสัญชาตญานในการรักษาตัวเองให้ปลอดภัยในโลกดิจิตอล คล้ายๆ กับที่เรารู้ว่าตรงนี้อันตรายนะอย่าเข้าไปเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ ก่อนเสียบปลั๊กไฟต้องเช็ดมือให้แห้งเป็นต้นทุกคนควรได้ฝึกทักษะในการคัดแยก พินิจวิเคราะห์ในเบื้องต้น (Critical Thinking) และยังมี ทักษะการรู้สื่อ (Media Literacy) – รู้เท่าทันเนื้อหาและผลกระทบจากสื่อ, ทักษะความรู้สารสนเทศ (Information Literacy) – กลั่นกรองข้อมูล เลือกใช้ประโยชน์จากข้อมูล, ทักษะการรู้สังคม (Social Literacy) – มีส่วนร่วมในสังคม เข้าใจวัฒนธรรม เป็นต้นกระแสเสียงล่อลวงยังไงๆ ก็ไม่สามารถทำให้เงียบหายไปได้ มันยังคงดังอยู่เรื่อยๆ และเข้าหาเราได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ แค่เปิดมือถือขึ้นมา แต่ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดในโลกดิจิตอล จะช่วยเราได้และท้ายที่สุด การสร้างสัมพันธภาพที่สร้างสรรค์ ทั้งในครอบครัว เพื่อนที่โรงเรียนหรือที่ทำงาน ครูกับลูกศิษย์ หรือคู่รักหนุ่มสาว ความสัมพันธ์ที่ดี โดยมีความรักและปราถนาดีเป็นพื้นฐาน เติบโตขึ้นด้วยการพยายามสื่อสารกัน ให้ความเคารพ ให้เกียรติกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา มองหาและพยายามสร้างความสุขให้เกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ที่ลงตัว มันย่อมเป็นสิ่งที่มีพลัง น่าเข้าหา สามารถพูดคุยให้คำปรึกษา เสียงที่ออกมาจากความจริงใจและหวังดี ย่อมมีพลังสามารถเตือนสติคนได้เช่นเดียวกันเหมือนกับที่ออร์ฟีอุส (Orpheus from Jason and the Argonautica) นักดนตรีพิณในตำนานกรีก ใช้วิธีบรรเลงเพลงพิณที่ไพเราะมีพลังในด้านที่ดีงามจนกลบเสียงล่อลวงของไซเรนได้ เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ลูกเรือทั้งหมดรอดชีวิตจากความตายด้วยเสียงของปีศาจไซเรนเครดิต:ภาพปกจาก Official Instagram Lovedeathandrobots ภาพประกอบที่ 1 จาก Official Instagram Lovedeathandrobotsภาพประกอบที่ 2 จาก johnhain / Pixabay.com ภาพประกอบที่ 3 จาก John William Waterhouse / Wikiภาพประกอบที่ 4 จาก nyflnerds / Pixabay.com ภาพประกอบที่ 5 จาก johnhain/ Pixabay.com อ้างอิง 1อ้างอิง 2อ้างอิง 3 *STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"*ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลค์คนที่ชอบ`ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี`คลิกเลย >> https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkqอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://bit.ly/3O1cmUQร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 3 สิงหาคม 2565