สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 เป็นต้นมา เรียกได้ว่าทำเอาบรรยากาศภายในประเทศไทยเข้าสู่สภาวะเคร่งเครียดโดยแท้จริง สาเหตุเนื่องมาจากการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้ป่วยหลักสิบ ทะยานเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเดือนมีนาคมไปสู่ผู้ติดเชื้อจำนวนหลักร้อย และหลักพันอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงเดือนเมษายน สถานการณ์ผู้ติดเชื้อก็ยังคงไม่ดีขึ้นและยังมีผู้ป่วยรักษาตัวที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในจำนวนที่น่าเป็นห่วงด้วยเช่นกัน จนกระทั่งมาถึงช่วงของปลายเดือนเมษายน สถานการณ์ความตึงเครียดต่อจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 จึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลงได้บางส่วน เนื่องจากพบจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ทำให้ความรู้สึกของประชาชนในประเทศไทยลดความตึงเครียดและวิตกกังวลลงได้มากเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ตามคำเตือนของนพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. และ องค์การอนามัยโลก(WHO) รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของแต่ละประเทศที่ผ่อนคลายสถานการณ์เร็วเกินไป ทำให้เกิดผู้ติดเชื้อระลอกใหม่เป็นจำนวนมาก ทำให้ประชาชนในประเทศไทยยังคงมีความระมัดระวังตัวมากเช่นเดิม(ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 1 มีนาคม - 28 เมษายน 2563) ทั้งนี้ จากการพบผู้ติดเชื้อภายในเดือนเมษายน 2020 เป็นจำนวนที่ลดลง อาจแสดงถึงสัญญาณที่ประเทศไทยใกล้ที่จะรอดพ้นวิกฤต COVID-19 ได้ในอัตราที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการพบผู้ป่วยที่ติดต่อกันภายในประเทศไม่มีกลุ่มเสี่ยงใหม่เกิดขึ้น ยังคงมีแต่กลุ่มเสี่ยงที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ซึ่งประชาชนกลุ่มนี้ เราสามารถจัดการรับมือได้อย่างควบคุมและมีข้อกฎหมายบังคับอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เนื่องจากได้รับบทเรียนจากการปล่อยให้ผู้ที่มีประวัติการเดินทางไปในสถานที่เสี่ยงรับผิดชอบตนเอง ส่งผลให้บางรายเกิดความชะล่าใจไม่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดและแพร่เชื้อไปสู่คนในครอบครัวในที่สุด อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกต่อสถานการณ์ในแต่ละบุคคลอาจมีความแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่าง ๆ ได้เช่นกัน ประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร เรียกได้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ที่เคร่งเครียดมากกว่าจังหวัดอื่น ๆ ของประเทศไทย ในกลุ่มลูกจ้างหรือแรงงานเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับความวิตกกังวลต่อสถานการณ์มากที่สุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกลัวต่อการติดเชื้อโรคแพร่ระบาด และอีกส่วนซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญคือปัญหาเรื่องปากท้องจากภาวะเศรษฐกิจที่ต้องหยุดชะงัก กลุ่มคนที่เดินทางมาทำงานในกรุงเทพฯ และไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้จึงมีความยากลำบากมากและเกิดภาวะความเครียดสูงจากพิษเศรษฐกิจในสถานการโรคระบาด เมื่อภาวะวิกฤตคลายตัวลง ความต้องการแรกของกลุ่มแรงงานคือการเดินทางกลับภูมิลำเนาได้อย่างอิสระนั่นเอง ในด้านองค์กรและสถาบันต่าง ๆ เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ แม้ภายในประเทศส่งสัญญาณถึงภาวการณ์ติดเชื้อที่ลดลงรวมถึงผู้ป่วยใหม่ที่สามารถควบคุมคัดแยกได้ แต่เชื่อว่าการกลับมาใช้ชีวิตภายในองค์กรหรือสถาบันอาจยังเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างดี รวมถึงมีความกังวลเจือปนอยู่มาก เพราะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือคนวัยทำงานต่างเป็นกลุ่มคนที่มีความกระตือรือร้นต่อเรื่องของโรคระบาดตั้งแต่ในช่วงของการแพร่เชื้อ และยังคงติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ผิดกับผู้สูงอายุบางส่วนที่บางรายอาจมีความตื่นตระหนก หรือปล่อยตัวตามสบายจากการได้รับข่าวสารที่ไม่ผ่านการคัดกรอง ดังนั้นคนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็วจึงเป็นกลุ่มคนที่เข้าใจในสถานการณ์ ตื่นตัวกับเหตุการณ์และรับมือได้อย่างถูกต้องมากกว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้รู้สึกถึงความปลอดภัยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 คือปัจจัยภายนอกที่สามารถควบคุมได้ เรายังคงพบผู้ป่วยจากกลุ่มที่เดินทางไปต่างประเทศเป็นผู้ป่วยกลุ่มสำคัญ การคัดกรองผู้คนส่วนนั้นจากประชาชนภายในประเทศทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แต่การไปในสถานที่ที่มีผู้คนสัญจรกันไปมายังเป็นเรื่องที่ยังคงหวาดระแวงอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ผู้เขียนเชื่อว่าจากปัจจัยเรื่องจำนวนผู้ป่วยที่ลดลงและการจัดการบุคคลกลุ่มเสี่ยงได้อย่างมีระบบจะทำให้การพบปะทางสังคมสามารถทำได้บ้าง สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือความระมัดระวังเรื่องของความสะอาดที่ทุกคนต้องปฏิบัติซึ่งจะช่วยให้การติดต่อกันระหว่างบุคคลเป็นไปด้วยความสบายใจทั้งสองฝ่าย ภาพปก : Florian Wehde on Unsplash ภาพ 1 : Alvin Aden Ardenrich Pan จาก Pixabay ภาพ 2 : Pexels จาก Pixabay ภาพ 3 : Pexels จาก Pixabay