เด็กอายุ 8 ขวบที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นลูกชายของผู้เขียนบทความเอง ในบทความนี้จะเป็นการเล่าลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวผู้เขียนบทความเอง เรื่องราวมีอยู่ว่าเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2563 ได้สังเกตเห็นจุดดำ ๆ ใต้ขมับซ้ายของลูกชาย เป็นลักษณะคล้ายกับสิวหัวดำที่เราเคยเป็นตอนสมัยวัยรุ่น จึงไม่ได้คิดอะไร แต่พอเวลาผ่านไปจนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 จุดดำ ๆ ดังกล่าวก็เริ่มอักเสบ เหมือนกับสิวอักเสบ จึงได้พาลูกไปตรวจ ภาพที่ 1 แสดงให้เห็นจุดดำ ๆ ที่วงกลมสีแดง ดูใกล้ ๆ คล้ายสิวหัวดำ ภาพที่ 2 แสดงให้เห็น การอักเสบของจุดดำ ๆ วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563 จึงได้พาลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เมื่อหมอตรวจดูแล้วจึงให้ยาแก้อักเสบมาทานเพื่อให้อาการอักเสบหายก่อนจึงจะสามารถผ่าตัดได้เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ช่วงเย็นที่ไปรับลูกจากบ้านพี่เลี้ยงก็ได้สังเกตเห็นที่ขาของลูกเป็นจุดแดง ๆ คล้ายโดนยุงกัด แต่พอดูดี ๆ ก็ปรากฏว่าไม่ใช่รอยยุงกัด เป็นเฉพาะที่ขาจะไม่มีตามตัวและส่วนอื่น ภาพที่ 3 แสดงให้เห็นผื่นแดง คล้ายกับโดนยุงกัด วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ได้พาน้องไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง และที่โรงพยาบาลแห่งนี้ หมอได้เจาะเลือดตรวจ ผลการวินิจฉัยออกมาว่า มีเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด เมื่อได้ทราบเรื่องแบบนั้นต้องยอมรับว่าใจคอไม่ดีเลย เพราะคำว่าเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือดนั้นมันน่ากลัวมาก และยิ่งค้นดูจากสื่อต่าง ๆ คำตอบที่ได้ยิ่งน่ากลัว เชื่อว่าคนที่เป็นพ่อแม่ทุกคนถ้าทราบเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับลูกตัวเองคงมีความรู้สึกไม่ต่างจากผู้เขียนบทความเลย คือกลัว กลัวไปหมดทุกอย่างและรู้สึกสงสารลูกมาก และที่โรงพยาบาลดังกล่าวก็ได้ให้ยามาทาน ซึ่งยาที่โรงพยาบาลนี้ให้มาเป็นยาแก้แพ้ กลายเป็นว่าตอนนี้น้องป่วยเป็น 2 อย่างคือ จุดอักเสบที่ใบหน้า และแบคทีเรียในเลือด น้องจึงจำเป็นต้องทานยาเพิ่ม จนถึงวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2563 แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 พาน้องไปที่โรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่ง ที่โรงพยาบาลนี้หมอได้เจาะเลือดตรวจและตรวจฉี่ด้วย ผลวิเคราะห์ปรากฏว่า"น้องเป็นภูมิแพ้ตัวเอง" เมื่อได้ยินคำนี้คนเป็นพ่อแม่แทบร้องไห้เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าโรคภูมิแพ้ตัวเองหรือโรคพุ่มพวงนั้นอันตรายมาก แต่พอดูลูก เค้าก็ยังพูดคุย ร่าเริง เหมือนกับเด็กที่ไม่เป็นอะไร ได้แต่คิดในใจว่าลูกคงไม่เป็นอะไรมาก หมออาจวิเคราะห์ผิด และก็รับยามาทาน ด้วยความที่ยาที่น้องต้องทานนั้นรวมทั้ง 3 โรงพยาบาลแล้ว มีจำนวนมากจึงให้น้องทานเฉพาะยาจากโรงพยาบาลเด็ก ปรากฏว่าอาการผื่นแพ้ที่ขาของน้องเริ่มหายเกือบหมด ภาพที่ 4 เจาะเลือดครั้งที่ 2 วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 วันนี้เป็นวันที่หมอนัดที่โรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่ง ทุกอย่างก็ผ่านพ้นด้วยดีโดยรวมน้องมีอาการดีขึ้น แล้วรับยากลับบ้าน ด้วยความเอ็นดูน้องก็มีพยาบาลท่านหนึ่งเข้ามาทักทายและได้เห็นยาที่หมอสั่งให้น้องก็ได้ทักว่า"น้องเป็นอะไรหมอถึงได้สั่งยาที่มีส่วนผสมของสารสเตอรอยด์ด้วย แต่ไม่ต้องห่วงนะ เพราะเป็นปริมาณที่อยู่ในความควบคุมของแพทย์" พอได้ยินแบบนั้นก็ทำให้เรา คนเป็นพ่อแม่ไม่สบายใจขึ้นมาอีก ถึงแม้จะด้วยปริมาณที่อยู่ในการควบคุม ด้วยความที่เป็นสารที่ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าอันตราย จึงไม่ให้น้องทานยาตัวนั้นต่อ อีกอย่างเพราะอาการผื่นแพ้ที่ขาก็เริ่มดีขึ้นแล้ว ส่วนจุดที่เป็นจุดดำที่อักเสบนั้นยังไม่ดีขึ้นมองดูด้านในยังดูเหมือนมีน้ำหนองอยู่และช่วงประมาณวันที่ 20 จนถึง 24 พฤศจิกายน ก็สังเกตว่ามีน้ำซึมออกจากจุดที่อักเสบ วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ได้พาน้องไปที่โรงพยาบาลที่ไปครั้งแรก ไปตามที่หมอนัด (ตามใบนัดนั้นเพื่อผ่าตัด) เมื่อเห็นอาการอักเสบยังไม่หายและยังมีน้ำซึมออกมาจากตรงตุ่ม หมอก็เลยสั่งยาแก้อักเสบให้อีกครั้ง และเมื่อกลับมาถึงบ้านก็ให้น้องทานยาตามที่หมอสั่ง พอวันรุ่งขึ้นปรากฏว่าขาน้องมีอาการผื่นแดงขึ้นอีก ผู้เขียนบทความและภรรยาจึงปรึกษากันว่าน้องน่าจะแพ้ยาแก้อักเสบที่น้องทานแน่เลย เพราะเมื่อคิดย้อนกลับไปตั้งแต่ครั้งแรกที่น้องทานยาแก้อักเสบ ผื่นก็ขึ้น จึงให้น้องงดยาชนิดนั้นลองดู ปรากฏว่าผื่นแพ้ไม่ขึ้น จึงพอจะสรุปได้ว่าน้องแพ้ยา วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 หลังจากให้น้องเลิกทานยาที่น้องแพ้ จุดที่หน้าน้องก็ปรากฏเหมือนมีน้ำหนองซึมออกมา จึงได้พาน้องไปหาหมอที่สาธารณสุขใกล้บ้าน และได้นำยาแก้อักเสบที่คิดว่าน้องแพ้ไปสอบถามด้วย ผลก็ปรากฏว่าน้องแพ้ยาชนิดนี้จริง ๆ และที่สถานีสาธารณสุขนี้ ทางพยาบาลก็ได้เจาะเอาก้อนน้ำหนองที่จุดอักเสบออก แล้วให้คำแนะนำว่า ต้องรอดูอาการอีกว่าจะกลับมามีน้ำหนองอีกหรือเปล่า ถ้าไม่มีอาการอักเสบก็แสดงว่าหายแล้ว แต่ถ้ากลับมาอักเสบอีกจำเป็นจะต้องผ่าตัดเพื่อเอาถุงน้ำหนองออกให้หมด ภาพที่ 5 เจาะเอาหัวน้ำหนองออก จากวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 จนเวลาผ่านมาถึงช่วงเดือนมีนาคม 2564 ปรากฏว่าจุดที่เจาะเอาหัวน้ำหนองออกไปนั้น เริ่มมีอาการอักเสบขึ้นมาอีกครั้ง จึงต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อเอาถุงน้ำหนองออก ในวันที่ 19 มีนาคม 2564 ภาพที่ 6 รอยผ่าตัดเอาถุงน้ำหนองออก ภาพที่ 7 ก้อนถุงน้ำหนอง หรือก้อนซีสต์ ไม่คาดคิดเลยว่า จากจุดดำ ๆ ที่เป็นเหมือนสิวหัวดำนั้น จะกลายเป็นก้อนซีสต์ถึงขนาดต้องผ่าตัด ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน - ภาพทั้งหมดโดยเจ้าของบทความ - ร่วมเสพบทความดีๆแบบนี้อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !