พ่อแม่ส่วนมากยังไม่เข้าใจขบวนการเจริญเติบโตและการพัฒนาของเด็ก เด็กเล็กนั้นอยู่ในจุดเริ่มต้นที่วิกฤตของการสร้างพื้นฐานคุณภาพชีวิต แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่จะมองและให้ความสนใจเฉพาะวัยรุ่น พอรู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว ดังนั้นเราควรจะปลูกฝังสร้างพัฒนาการและเรียนรู้ไปพร้อมกับเขาพ่อแม่บางคนอาจเป็นพ่อแม่มือใหม่ ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจการเลี้ยงเด็ก ส่วนมากจะเอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้งว่าสิ่งนั้นถูกสิ่งนี้ผิด ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิด ถ้าอยากให้เขาเข้าใจเรา เราต้องเข้าใจเขาก่อน บางครั้งคุณก็ไม่เข้าใจการกระทำของเขา แต่เขาก็ไม่เข้าใจการกระทำของคุณเหมือนกัน วิธีที่เราจะเข้าใจเด็กให้มากขึ้นนั้น เราต้องลองคิดแบบเด็ก เพราะมุมมองของผู้ใหญ่กับเด็กนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าเราสงสัยในการกระทำของเด็กว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ ต่อต้านเราบ้างล่ะ พูดอะไรก็ไม่ฟัง เลยทำให้คุณตัดสินการกระทำของเด็กว่าสิ่งทีทำนั้นมันผิด บางสิ่งบางอย่างก็เป็นอะไรที่พ่อแม่อาจจะเข้าใจในตัวเด็กยากสักนิด ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนรู้และเอาใจใส่เขาให้มาก ๆ เด็กเล็กนั้นกำลังอยู่ในช่วงที่สมองกำลังพัฒนา เราต้องคอยคิดตามเขาอยู่ตลอด ไม่ใช่ให้เด็กเขามาคิดตามเรา เขาอยากทำอะไรเราก็ส่งเสริม การสอนเด็กเล็กนั้นคุณควรหลีกเลี่ยงการใช้คำสั่ง เพราะจะทำให้เขารู้สึกว่าไม่เป็นอิสระ ถูกบังคับ และอาจจะทำให้เด็กต่อต้านเราทั้งในทางตรงและในทางอ้อมก็ได้ ดังนั้นพ่อแม่เด็กควรมีวิธีคิดแบบคิดออกนอกกรอบไว้บ้าง จะทำให้คุณเข้าใจในตัวเด็กได้มากขึ้น คราวนี้เรามาลองดูกันว่า สิ่งที่คุณควรต้องรู้เกี่ยวกับเด็ก ๆ บางสิ่งบางอย่างคุณอาจจะมองข้ามไป แต่ที่จริงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้สมองของเด็กนั้นพัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น1. ทุกครั้งที่เด็กร้องต้องขานตอบ หรือควรมีเวลาใกล้ชิดเขามาก ๆคุณอาจจะสงสัยว่าทำไม เมื่อเด็กทารกอายุ 2-3 เดือน เด็กเริ่มหัวเราะส่งเสียงและจะจดจำสิ่งรอบกาย คำพูดและการกระทำของพ่อแม่เด็กจะค่อย ๆ จดจำ เพราะฉะนั้นในช่วงเวลานี้ การที่แม่คุยกับลูกหรือไม่คุย จะส่งผลแตกต่างอย่างมากมายต่อการพัฒนาทางสติปัญญาของเด็ก รวมถึงอาจจะทำให้เด็กเริ่มพูดได้ช้าลง2. เข้าใจผิดอย่างแรง เข้มงวดผิดเวลามีคุณแม่หลายคนที่นิยม ตามใจลูก ก่อนจะเข้าโรงเรียนอนุบาล แต่พอ ลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลหรือโรงเรียนประถม คุณแม่กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเคยปล่อยเขาเป็นอิสระ ไม่ดุไม่ว่า เด็กก็จะจดจำสิ่งที่ทำในช่วงนั้น แต่มาตอนนี้กลับอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด คอยดุคอยว่าอยู่ตลอด โดยคุณแม่ส่วนใหญ่มักจะอ้างว่า หนูโตแล้วนะ เข้าโรงเรียนแล้ว อย่าดื่ออย่าซนสิลูก ทั้ง ๆ ที่ก่อนที่จะเข้าโรงเรียนไม่เคยถูกดุถูกว่าเลย ผมคิดว่าการเลี้ยงลูกแบบนี้ต้องปรับใหม่นะครับ เพราะจะทำให้เด็กนั้นเกิดสับสน และอาจเกิดเป็นผลเสียต่อสภาวะจิตใจของเด็กเอง3. พ่อควรมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกมากขึ้นพ่อถ้าจะให้เปรียบเทียบกับแม่เรื่องความใกล้ชิดสนิทสนมกับลูกนั้น ลูกนั้นย่อมจะใกล้ชิดกับแม่มากกว่าอยู่แล้ว ด้วยความที่เป็นหัวหน้าครอบครัวพ่อจึงไม่ค่อยมีเวลามาดูแลหรือใกล้ชิดลูกมากสักเท่าไหร่ แต่อันที่จริงแล้ว ถ้าพ่อนั้นสามารถหาเวลามาใกล้ชิดลูกเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ให้กับลูกในวัยที่เขากำลังจดจำได้นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่มาก ๆ เพราะลูกในวัยนี้เขาจะรู้สึกได้ถึงความรักความห่วงใยที่มีให้กับเขาได้เป็นอย่างดีเลยครับเอาล่ะครับเราพอรู้มาคร่าว ๆ กันแล้ว ว่าเด็กนั้นเปราะบาง และสับสนกับการกระทำที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาได้จดจำมาก่อนหน้านี้ได้ง่าย ๆ เด็กนั้นเหมือนผ้าขาว คุณเลี้ยงมาแบบไหนเขาก็จะเป็นแบบที่คุณเลี้ยงมานั้นแหละครับ จริง ๆ แล้วผมมีเรื่องอยากจะถ่ายทอดออกไปอีก แต่ดูจากบทความนี้ผมก็ได้สมควรแก่เวลาแล้ว สุดท้ายนี้ รักลูกใครก็รักครับ แต่คุณควรศึกษาเขาสักนิด เพื่ออนาคตและพัฒนาการที่ดีของลูกคุณเอง รูปภาพหน้าปกโดย: fujikama / รูปภาพที่ 1 โดย: Bob_Dmyt / รูปภาพที่ 2 โดย: PublicDomainPictures / รูปภาพที่ 3 โดย :joffi / รูปภาพที่ 4 โดย : Pexels / รูปภาพที่ 5 โดย : geralt