นครวัด เป็นปราสาทที่สร้างจากหิน ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และนครวัดยังถูกยกให้เป็นวิหารทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยคาดการณ์กันว่ามีการใช้อิฐที่ทำจากก้อนหินมากถึง 1,000,000 ก้อน และมีน้ำหนักรวมกันมากถึง 2,000,000 ตันหินทุกก้อนที่นำมาทำเป็นอิฐจะถูกตัดและแต่งให้เรียบ ได้สมมาตร และนำมาจัดเรียงกันอย่างซับซ้อน นอกจากนี้บางก้อนยังมีการตกแต่ง เช่น มีการสลักนูนต่ำบนก้อนหินอีกด้วย นครวัดตั้งอยู่ในป่าใจกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีปราสาทชื่อดังที่สร้างชื่อให้กับกัมพูชา นั่นคือ “นครธม Angkor Thom, นครวัด Angkor Wat” ทั้งนครธมและนครวัดเป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานที่เรียกว่า “เมืองพระนคร” โดยมีที่ตั้งอยู่ที่เมืองเสียมเรียบ นครวัดนั้นล้อมรอบด้วยคูเมืองความยาว 1.3 กิโลเมตร กว้าง 1.5 กิโลเมตร คำว่า “วัด” หมายถึง วิหาร ถูกสร้างขึ้นให้เป็นแบบฮินดู ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 และเสร็จในช่วงยุโรปยุคกลาง ซึ่งอยู่ในช่วงที่มหาวิหารนอร์เทอดาม และหอเอนเมืองปิซ่าเริ่มสร้าง ลักษณะของนครวัดนั้นจะมีวิหารมุมฉากซ้อนกัน 3 ชั้น แต่ละชั้นจะอยู่ถัดกันไป ด้านนอกสุดเป็นวิหารรายแห่งแรก ถัดเข้ามาเป็นแห่งที่สอง และแห่งที่สามตามลำดับ ชั้นในสุดจะเป็นวิหารกลาง ภาพ : google maps ภาพ : www.pixabay.comทางเดินในปราสาท ประดับประดาไปด้วยรูปปั้นนูนต่ำ ส่วนมากจะเป็นรูปปั้นของนางอัปสรา ซึ่งแต่ละนางจะมีการแต่งตัว และเครื่องประดับที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ก็ยังมีภาพของผู้สร้างนครวัด พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ซึ่งทรงครองราชย์เมื่อ 900 ปีก่อน นครวัดต้องใช้เวลาก่อสร้างถึง 3 ทศวรรษกว่าจะแล้วเสร็จปราสาทกลาง คือปราสาทที่สูงที่สุด เป็นตัวแทนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดู เมื่อสร้างเสร็จปราสาทกลางจึงเปรียบได้กับศูนย์กลางของจักรวาลเลยทีเดียว บนยอดของปราสาทมีภาพสลักของครุฑ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีลักษณะคล้ายนก จ้องมองไปทั่วบริเวณปราสาท นอกจากนี้ปราสาทกลางยังมีการตกแต่งที่สลับซับซ้อน โดยการวางก้อนหินขนาดใหญ่ซ้อนกันขึ้นไปเรื่อย ๆ จนปราสาทมีความสูงจากพื้นถึง 65 เมตร เทียบได้กับตึก 15 ชั้นเลยทีเดียว รอยต่อของก้อนหินแต่ละก้อนไม่มีการใช้ตัวยึดเกาะเช่น ปูน แต่ใช้วิธีการจัดวางให้แนบสนิทกันอย่างระมัดระวัง ภาพ : www.pixabay.comบริเวณรอบ ๆ นครวัดนั้นเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ที่ย้ำเตือนให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของนครวัดในอดีต และจากการศึกษาด้วยวิทยาศาสตร์ ยิ่งเผยให้เห็นถึงความน่าอัศจรรย์และยิ่งใหญ่ของอารยธรรมแห่งนี้ นักสำรวจหลายคนเชื่อว่านครวัดนั้น เป็นแหล่งข้อมูลที่ใหญ่ที่สุด ก่อนยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่แล้วจู่ ๆ อารยธรรมที่เจริญรุ่งเรือง กลับหยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้แค่นั้น ผู้คนที่เคยอาศัยอยู่อย่างคับคั่ง กลับอันตรธานหายไป ราวกับโดนลักพาตัวในอดีต ชาวโลกแทบไม่รู้จักนครวัด เนื่องจากสถานที่ตั้งนครวัดนั้นอยู่ในป่าลึก ที่ยากแก่การเข้าถึง จนเมื่อศตวรรษที่ 19 นักประวัติศาสตร์ธรรมชาติชาวฝรั่งเศส ได้พบซากปรักหักพังในป่าลึกของกัมพูชา เขาจึงแจ้งเรื่องกลับไปยังยุโรป เพื่อบอกให้รู้ถึงความยิ่งใหญ่และลึกลับของสถานที่แห่งนี้ นับตั้งแต่นั้นมาโลกจึงได้รู้จักกับปราสาทหินที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง “นครวัด” ภาพ : www.pixabay.comถึงแม้นครวัดจะถูกเปิดเผยต่อชาวโลก แต่ประวัติศาสตร์ของนครวัดยังเป็นปริศนาลึกลับเกินกว่าจะจินตนาการถึง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนกัมพูชานั้น นิยมจดบันทึกลงบนใบปาล์ม แล้วเก็บรวมกันไว้ นานวันไปใบปาล์มจึงเกิดการย่อยสลายตามธรรมชาติและผุพังไป ทิ้งไว้เพียงปริศนาให้คนรุ่นหลังสงสัย ว่าทำไมปราสาทที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถึงถูกสร้างไว้ที่กลางป่า แล้วเหตุใดอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของนครวัด ถึงหยุดชะงักไป ภาพ : www.pixabay.comแต่ผู้เชี่ยวชาญก็ใช้ความพยายามในการรวบรวมข้อมูลเข้าด้วยกัน จนตอนนี้รู้แล้วว่านครวัดนั้น ปกครองโดยกษัตริย์เขมร ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 - 15 และน่าจะมีกษัตริย์สืบทอดถึง 26 พระองค์ ในจารึกระบุว่าทุกครั้งที่กษัตริย์ขึ้นครองราชย์ พระองค์จะทรงสร้างปราสาทหลังใหม่ เพื่อเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อทางศาสนาในเวลานั้น ที่บอกไว้ว่า “ปราสาทคือสิ่งที่กษัตริย์ให้ความเคารพเมื่อยังมีพระชนม์ชีพอยู่ และปราสาทจะเป็นที่ประทับในยามที่กษัตริย์เสด็จสวรรคต เปรียบได้กับสวรรค์ที่สวยงาม” นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้การก่อสร้างปราสาทนั้น ต้องมีความละเอียดอ่อน และประณีตมากที่สุด ภาพ : www.pixabay.comต่อมาได้มีการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์อันล้ำสมัยในการสำรวจนครวัด โดยมีการใช้เลเซอร์แสกนโครงสร้างของนครวัดและบริเวณใกล้เคียงแบบละเอียด จากการแสกนนั้นพวกเขาพบว่ารอบ ๆ นครวัดนั้น มีลักษณะเป็นลูกคลื่นขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นหลุมยุบ ขนาด 25 เมตร มีการจัดเรียงกันเป็นแนวเส้นตรงและยังมีส่วนที่นูนขึ้นมาจากพื้นดินอีก 40 เมตร ในบริเวณใกล้ ๆ กัน พวกเขาจึงทำการขุดดินลงไปเพื่อสำรวจภูมิประเทศแห่งนี้ ระหว่างที่ขุดทีมงานก็พบกับข้าวของเครื่องใช้ พวกหม้อ ภาชนะต่าง ๆ และยังขุดพบโครงสร้างของสิ่งก่อสร้าง จากฝีมือของมนุษย์ ซึ่งสิ่งที่ขุดเจอนั้น คือสิ่งที่ยื่นยันได้เป็นอย่างดี ถึงการเคยมีคนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ และจากการแสกนพื้นที่อย่างละเอียด ยังแสดงให้เห็นอาณาเขตของนครวัดอย่างชัดเจน ซึ่งกินพื้นที่ 1000 - 1500 ตารางกิโลเมตร โดยคาดการณ์กันว่าน่าจะมีผู้อยู่อาศัยราว ๆ 700,000 – 1,000,000 คนเลยทีเดียว ภาพ : www.pixabay.comเลเซอร์แสกนแสดงให้เห็นถึงอาณาเขตของนครวัด ที่ประกอบด้วยปราสาทที่อยู่ศูนย์กลางและบ้านเรือนมากมายที่อยู่ล้อมรอบ ทีมสำรวจต่างประหลาดใจกับพื้นที่ของเมืองซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าที่พวกเขาคาดกันไว้มาก ซึ่งเหตุผลที่นครวัดมีอาณาบริเวณกว้างขนาดนี้ น่าจะมาจากการที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ที่ขึ้นครองราชย์ จะต้องสร้างปราสาทหลังใหม่ของพระองค์เอง และขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น จนส่งผลให้นครวัดกลายเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ในระดับมหานครในปัจจุบันแต่หากเราลองเปรียบเทียบนครวัดกับอารยธรรมอื่น ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างสุดขีด เช่น เมืองคอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงของโรมันตะวันออก เป็นเมืองท่าแห่งการค้าขายระหว่างยุโรปกับเอเชีย เป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งและไม่เคยหลับใหล อีกเมืองคือเมืองหลินอันของประเทศจีน ที่มีอาณาเขตติดกับทะเล ที่นี่จึงเป็นนครหลวงแห่งการซื้อขายสินค้าพื้นเมือง ซึ่งทั้งสองเมืองนั้นต่างมีจุดหนึ่งที่เหมือนกันคือ “การคมนาคมที่สะดวก เพราะติดทะเล” แต่นครวัดนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ภาพ : www.pixabay.comนครวัด มีแต่ป่าหนาทึบ ที่ห่างจากทะเลถึง 300 กิโลเมตร แต่พวกเขากลับสามารถสถาปนาอาณาจักรของตัวเองขึ้นเป็นมหานครขนาดใหญ่ ที่อาจมีประชากรถึง 1,000,000 คน ที่อาศัยอยู่ในเมือง ต่อมามีการค้นพบบันทึกของชาวจีนที่เขียนถึงกัมพูชา ในรัชสมัยของราชวงศ์หยวน ในบันทึกบอกไว้ว่า “มีข้าวอยู่เสมอในนครวัด ในหนึ่งปีสามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้ 3 - 4 ครั้ง” จากบันทึกนี้พอเดาได้ว่านครวัดในเวลานั้น มีความอุดมสมบูรณ์มาก ข้าวไม่เคยขาด จึงทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาตั้งรกรากในที่แห่งนี้แต่นครวัดจะมีอยู่แค่ 2 ฤดูคือ ฤดูแล้งกับฤดูฝน ฤดูแล้งจะกินเวลา 6 เดือน หลังจากนั้นก็จะเกิดฝนตกอย่างหนัก จึงชวนให้เกิดความสงสัยเหลือเกินว่า ชาวนครวัดเก็บเกี่ยวข้าวปีละ 3-4 ครั้งได้อย่างไร ซึ่งจากการแสกนเลเซอร์ทางอากาศ ทำให้ค้นพบว่า พวกเขามีแหล่งกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง โดยมีคลองส่งน้ำลำเลียงน้ำเข้าไปล่อเลี้ยงในนครวัดและพื้นที่รอบนอก ซึ่งมันก็คือ “ระบบประปา” นั่นเองภาพหน้าปก : www.pixabay.com