“สุรินทร์วันเดียวเที่ยวไหนดี ช่วยคิดหน่อย” เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยฟัง หรือ เคยเป็นคนพูดประโยคนี้… เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เคยฟังมาหลายครั้ง ฟังแล้วก็นำมาคิด… เที่ยวโบราณสถานดีมั้ย … มีให้เลือกเยอะเลยนะ… ปราสาทน่าไปก็หลายที่ อาทิ พิพิธภัณฑ์ ปราสาทเฉนียง ปราสาทเมืองที ปทายสมัน นางบัวตูม บ้านพลวง บ้านด่าน บ้านภูมิโปน ศีขร ตาเมือน ตาควาย … ปราสาทอื่น ๆ อีกเยอะมาก แต่อยู่คนละอำเภอ วันเดียวน่าจะไม่ทัน! งั้นเที่ยวธรรมชาติดีกว่ามั้ย… อ.บัวเชดก็น่าสนนะ วัดเขาศาลา น้ำตกถ้ำเสือ อ่างจรัส หรือจะไป อ.กาบเชิง ก็ดีนะ ธรรมชาติยังคงเป็นธรรมชาติจริง ๆ ยังไม่ถูกปรุงแต่งใด ๆ ไม่ว่าจะผามะนาว ทะมอโรย วัดมงคลคชาราม(ช้างหมอบ)… เอ!!หรือจะไปช้อบปิ้งช่องจอมก็เข้าท่านะ ข้างทางก็มีอังแกบบอบ(กบยัดใส้ย่าง)ให้ซื้อฝากคนที่บ้านด้วย เวลามีแค่วันเดียวแต่ที่เที่ยวมีให้เลือกเยอะขนาดนี้ งั้นแบ่งเที่ยวตามคำขวัญประจำจังหวัดดีกว่า “สุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ - ผ้าไหมงาม - ประคำสวย - ร่ำรวยปราสาท - ผักกาดหวาน - ข้าวสารหอม - งามพร้อมวัฒนธรรม” 7 ประโยคที่รวมเป็นคำขวัญจังหวัดสุรินทร์ ทริปวันเดียวเที่ยวสุรินทร์ เราจะชวนไปเที่ยวตาม 3 ประโยค 3 อย่าง ก่อนละกัน…ผ้าไหมงาม… ข้าวสารหอม…งามพร้อมวัฒนธรรม เพราะ “ลือกีทา” (ลือกีทา เป็นภษาเขมร หมายถึง เขาเล่ามา… เขาร่ำลือว่า… ได้ยินเขาว่า) ลือกีทาว่า…แค่ ต.ท่าสว่าง ที่เดียว ก็มีครบทั้ง 3 อย่าง งั้นก็… โตวตอเลือย (โตวตอเลือย ภาษาเขมรหมายถึง ไปกันเลย) ก่อนออกจากตัวเมือง เพื่อความเป็นสิริมงคล เราขอชวนไปกราบเจ้าเมืองก่อนเนอะ … อนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวางสร้างขึ้นเมื่อปี 2511 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึง พระยาสุรินทร์ภักดีฯ(เซียงปุม) เจ้าเมืองประทายสมันต์(ชื่อเดิมของเมืองสุรินทร์) ผู้วางรากฐานการก่อตั้งเมืองสุรินทร์คนแรก ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์เมืองสุรินทร์ อนุสาวรีย์นี้ตั้งอยู่ทางเข้าเมืองสุรินทร์ตรงหลักกิโลเมตรที่ 0 ถ.สุรินทร์-ปราสาท อนุสาวรีย์เป็นรูปหล่อทองเหลืองรมดำ สูง 2.2 เมตร มือขวาถือของ้าว อันแสดงถึงความเก่งกล้าสามารถของท่านในการบังคับช้างศึก และเป็นการแสดงว่า สุรินทร์เป็นเมืองช้างมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์ และรูปปั้นของท่านที่สะพานดาบคู่อยู่บนหลังหมายถึงความเป็นนักรบผู้กล้าหาญ และช่วงวันที่ 11-13 เมษายนของทุกปี ทุกหน่วยงานในจังหวัดสุรินทร์ จะร่วมวางพวงมาลา ณ ลานหน้าอนุสาวรีย์ เพื่อสักการะและรำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน ซึ่งจะมีประชาชน นักเรียน นักศึกษา นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ จะมาเข้าร่วมพิธีรำบวงสรวงในชุดผ้าถุงโสร่งไหม เสื้อเขียวคาดเหลือง อย่างสวยงาม จำนวนหลายพันคน โตวตอ ๆ (โตวตอ หมายถึง ไปต่อ ) ลือกีทา—>> ผ้าไหมงามบ้านท่าสว่าง บ้านท่าสว่าง อยู่ห่างจากตัวเมือง ประมาณ 9 กิโลเมตร เดิมชื่อ บ้านเตรี๊ยะ เป็นภาษาพื้นบ้าน(เขมร) .... เตรี๊ยะ เป็นชื่อพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่ง ภาษาไทยเรียกต้นชาด บรรพบุรุษของชาวเตรี๊ยะอพยพมาจากบ้านระเภาว์ ( ซึ่งวันนี้เราก็จะพาไปเที่ยวเช่นกัน) ในปี 2485 ได้มีการรวบรวมบ้านเตรี๊ยะกับหมู่บ้านอื่นๆเป็นตำบลท่าสว่าง และบ้านเตรี๊ยะก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบ้านท่าสว่าง อาชีพหลัก คือการเกษตร อาชีพรองคือ ทอผ้าไหม ปลูกผักขาย โดยเฉพาะฝีมือการทอผ้าไหมของหมู่บ้านท่าสว่างเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและที่สำคัญ ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ทอผ้าไหมยกทองโบราณ เพื่อมอบให้ผู้นำเอเปคเมื่อปี พ.ศ 2546 ใครที่หลงไหลและอยากชื่นชมงานหัตถกรรมไทยที่ทรงคุณค่า ขอเชิญแวะมาเยี่ยมเยือนที่บ้านท่าสว่าง นอกจากจะได้ชมวิถีชีวิตชาวบ้านแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์งานถักทอแนว OTOP สารพันงานผ้าไหม ตัดเย็บเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้จากผ้าไหมคุณภาพดี… ก็อัญเจิญ (อัญเจิญเป็นภาษาเขมรหมายถึง เชิญค่ะ) เคลียนหรือยังค่ะ(เคลียนหมายถึงหิว) เที่ยวมาครึ่งวันแล้ว ถ้าหิวก็มีร้านเสริมสวยข้างทาง ที่หน้าร้านเปิดเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือด้วย มีทั้งหมู ทั้งเนื้อ ก๋วยจั๊บญวน เราชิมทุกเมนู ที่ถูกใจเรามากก็คงพริกทอดและแคปหมูทอด ทานคู่กับก๋วยเตี๋ยว เข้ากันสุด ๆ จะแอ๊ต(อิ่ม) แล้วก็โตวตอ(ไปต่อ)… ลือกีทา—>> งามพร้อมวัฒนธรรม สุรินทร์มีวัฒนธรรมและงานประเพณีมากมายที่น่าสนใจ และวันนี้เราจะพามาเที่ยวและสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ที่สำนักสงฆ์บ้านระเภาว์ บ้านระเภาว์ เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ห่างจากบ้านท่าสว่างประมาณ 5 กิโลเมตร สำนักสงฆ์บ้านระเภาว์เกิดขึ้น จากแนวคิดของพระอาจารย์มหาธีรพร ซึ่งเป็นประธานสงฆ์สำนักสงฆ์แห่งนี้ ท่านบุกเบิกและลงมือทำด้วยตนเองทุกอย่าง ทั้งจับจอบ จับเสียม ตัดหญ้า มาเกือบ 7 ปี โดยมีสโลแกนว่า “เป็นผู้นำต้องทำให้ดู” พระอาจารย์เล่าว่า พระอาจารย์มีโอกาสไปเรียนปริญญาโทด้านสังคมสงเคราะห์ และช่วยเผยแพร่ศาสนา เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในวัดที่ประเทศอินเดีย 10 ปี แล้วได้แนวคิดมาว่า... ถ้าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในป่ามีเสียงนก ในวัดก็ไม่ควรขาดเสียงสวดมนต์ และมีเจตนาที่จะสืบสานประเพณีวัฒนธรรม และทะนุบำรุงศาสนาให้คงอยู่คู่สังคมไทยสืบไป พระอาจารย์จึงก่อตั้งและเริ่มพัฒนาสำนักสงฆ์บ้านระเภาว์โดยการเรียกประชุมผู้นำของชุมชนบ้านระเภาว์ เพื่อหาแนวทางจัดกิจกรรมที่จะเกิดประโยชน์ให้ชาวบ้าน เด็ก และเยาวชน อาทิ จัดกิจกรรม 1 วันพระ 1 ธรรมะ 1 กัณฑ์เทศน์… มีให้ทุนเด็กนักเรียนที่เข้าร่วมสวดมนต์… มีการนิมนต์พระสงฆ์เข้าพรรษาด้วยการ ตักบาตรดอกไม้ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา และเชิญชวนให้ญาติโยมสวมผ้าไหม ใส่ผ้าซิ่น เดินโปรยดอกไม้บนสะพานท่ามกลางต้นข้าวเขียวขจีที่ชาวบ้านมาช่วยกันลงแขกดำนา(มีรายการทีวีมาถ่ายทำด้วย) ชาวบ้านมองวัดเหมือนเป็นบ้าน และวัดก็มองบ้านเป็นวัด ทุกอย่างนำมาผสมผสานแล้วปรุงแต่งให้ศิวิไลว์ด้วยธรรมชาติอย่างลงตัว จากการพูดคุยกับชาวบ้านและเด็ก ๆ ที่เข้ามาเล่นในวัด ต่างก็บอกว่าพระอาจารย์ขยันและมีเมตตา พอเราได้กราบและคุยกับท่าน ท่านก็ชมว่าชาวบ้านที่นี่สวดมนต์เก่งมาก เมื่อวัดกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว… ในมุมมองของเรา…ก็ดีกว่าการให้เด็กๆ ไปมั่วสุมอบายมุข เล่นเกม อื่น ๆ ที่ไม่เกิดประโยชน์ การเข้าวัดเพื่อมาฝึกเกลา เกลาสติ เกลามารยาท หรือจะเข้ามาช่วยงานวัดด้วยจิตอาสา ฝึกความเสียสละ ฝึกจาคะ(ลดความตระหนี่ถี่เหนียว)… เราก็ขอเชิญชวนทุกคนชวนลูกหลานเข้ามาเที่ยวที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ หรือถ้ามีโอกาสก็ไปนั่งสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ ก็จะได้แนวคิดดี ๆ เหมือนวันนี้ที่เราได้ … ความแตกต่างกันทางความคิด ความเชื่อ ของคนมีมาแต่โบราณ มิใช่เกิดแต่ในปัจจุบัน… ศาสนาพุทธที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือเป็นเรื่องของเหตุและผล แม้ว่าคนไทยส่วนหนึ่งจะยังคงสับสน เช่น ปลูกต้นไม้ด้วยความเชื่อว่าเป็นไม้มงคล หรือแค่สวดมนต์แล้วขอนู่น นี่ นั้น ก็จะได้ตามปรารถนา แต่ถ้าเราใช้เหตุและผลด้วยการคิดว่า ปลูกต้นไม้นี้ดี ช่วยลดโลกร้อน และช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ เป็นประโยชน์กับโลก … หรือการสวดมนต์เป็นการฝึกสติ ซึ่งพอเรามีสติ เราก็จะเกิดปัญญา พอมีปัญญาก็นำปัญญามาแก้ไขปัญหาได้ หรือนำปัญญามาสร้างอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ เพราะความเจริญหรือเสื่อมในชีวิตของคนเราเกิดจากการภายในตัวเราเอง ถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี ก็เหมือนนำสิ่งที่เป็นมงคลเข้าตัวเรา แต่ถ้าเราคิดหรือทำในสิ่งที่ไม่ดีมันย่อมนำความอัปมงคลเข้าสู่ตัวเรา ต่อให้สวดมนต์เยอะแค่ไหนก็คงเสื่อมได้ หลังอิ่มใจในธรรม ท้องเริ่มกระหายกาแฟแลเครื่องดื่มเย็น ๆ อีกแล้ว ที่สำนักสงฆ์กำลังจะทำร้านกาแฟและเครื่องดื่มสมุนไพรไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วยนะคะ โดยฝีมือของชาวบ้านในชุมชน ถึงเวลาอาหารมื้อเย็นก่อนที่จะจบทริปเที่ยววันเดียว ก็ไปหาร้านอร่อย ๆ ในตัวเมืองละกัน ร้านไหนดีละ ที่ข้าวสารหอม ตามที่คำขวัญบอก ลือกีทา… ร้านโมเซิล โมเซิล (ภาษาเขมร หมายถึง มาก่อน ๆ มาแวะก่อน)… โมเซิลเป็นร้านอาหารในตัวเมืองสุรินทร์ ที่นอกจากจะคัดสรรทุกอย่างเพื่อลูกค้าอย่างพิถีพิถัน ตั้งแต่การคัดเลือกข้าวสาร ก็ต้องเลือกข้าวสารหอมของ จ.สุรินทร์ ซึ่งหอมจริง อร่อยจริง แถมบรรยากาศรอบ ๆ ร้านก็เต็มไปด้วยแปลงผักปลอดสารที่ทางร้านปลูกเอง … ธรรมชาติรอบ ๆ ร้าน ทำให้ทานเพลินเรียกได้ว่าอิ่มทั้งกาย อิ่มทั้งใจ จนอยากจะบอกต่อ เพราะเราอยู่สุรินทร์มาหลายปี... วันนี้เลยขอนำเที่ยวเชิงประชาสัมพันธ์ รายละเอียดอาจจะอัดแน่นนิดหนึ่ง เผื่อเเป็นข้อมูลสำหรับผู้สนใจอยากมาเที่ยวบ้านเรา… ยินดีต้อนรับทุกท่านค่ะ หมายเหตุ : เนื่องจากสุรินทร์ถิ่นอิสานใต้ที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงใช้ภาษาเขมร บทความเรื่องนี้ของเราก็เลยถือโอกาสแทรกภาษาเขมรไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มอรรถรสในการนำเที่ยว ลือกีทา : เขาเล่าว่า… เขาร่ำลือว่า โตวตอเลือย : ไปกันเลย โตวตอ : ไปต่อ เคลียน : หิว เคลียนบาย : หิวข้าว จะแอ้ต : อิ่ม อัญเจิน : เชิญค่ะ, ยินดีต้อนรับ พบกันใหม่ทริปหน้า… ลือกีทา—->> กาบเชิง ถ้าธรรมะแช่ฟิตได้เหมือนอาหารก็คงจะดีนะ ทุกคนจะได้ไม่ขาดธรรมะ เพราะธรรมะคือความสุข เมืองสะเร็นอัญเจิญ : เมืองสุรินทร์ยินดีต้อนรับ ภาพประกอบเรื่องทุกภาพโดยผู้เขียน : ไข่ฟู ครูนอกกรอบ