ช้อนกับส้อมเป็นของคู่กัน อุปกรณ์สำคัญในการรับประทานอาหารของคนยุคนี้ ไม่ว่าบ้านไหนก็ย่อมต้องมีช้อนส้อมติดครัวกันเอาไว้ เพราะไม่เพียงแต่ทำให้เรารับประทานอาหารได้สะดวกมากยิ่งขึ้น แต่การรับประทานอาหารด้วยช้อนส้อมเป็นวัฒนธรรมสากลของมนุษย์ เป็นสิ่งที่เราต่างถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน แม้หลายครั้งเราจะเอาส้อมไปจิ้มหนังหมูก่อนทำหมูกรอบก็เถอะ แต่ยุคนี้น้อยคนนักที่จะใช้มือเปิบข้าวแบบสมัยก่อน ทุกคนอาจจะคิดว่าใช้ช้อนส้อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่หากเราย้อนกลับไปสักพันกว่าปีที่แล้ว เราจะพบว่า ส้อม (Fork) ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา แต่ถูกเรียกว่าเป็นสิ่งเลวทราม เป็นของสกปรกและเป็นเครื่องมือแห่งความชั่วร้าย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นต้องตามผู้เขียนไปหาคำตอบด้วยกันในบทความนี้เรากำลังเดินทางไปยังทวีปยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 11 ยุคสมัยนั้นผู้คนกำลังถูกความเชื่อทางศาสนาครอบงำอย่างเต็มเปี่ยม แม้กระทั่งการรับประทานอาหารก็มีกฎข้อห้ามจู้จี้จุกจิกจากศาสนจักร จะตื่นมาแล้วกินข้าวเช้าก็ไม่ได้เพราะถือว่าเป็นบาป แต่ละมื้อก็ต้องสวดมนต์วิงวอนต่อพระเจ้าและศาสดาก่อนจึงจะกัดก้อนขนมปังเข้าปากได้ และที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดใดก็ตาม ต้องใช้มือในการหยิบหรือตักใส่ปากเท่านั้น หากเป็นซุปหรือจำพวกข้าวโอ๊ตต้มสามารถใช้ช้อนได้ แต่ห้ามใช้ส้อมโดยเด็ดขาด เพราะถือว่าอาหารเป็นของขวัญจากพระเจ้า จะมาใช้ส้อมที่เป็นเหล็กแหลมจิ้มใส่ปากถือเป็นเรื่องไม่บังควรสวนทางกับหลายชุมชนในแถบตะวันออกกลาง อย่างอาณาจักรไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) มีการใช้ช้อนส้อมและมีดในการรับประทานอาหารอย่างเช่นเราในสมัยนี้ ส้อมในสมัยก่อนจะมีเพียง 2 ซี่ และใช้วัสดุที่มีราคาในการหลอมสร้าง โดยเฉพาะวัสดุจำพวกเหล็กและทองคำ ถึงอย่างไรการใช้ส้อมจิ้มอาหารเข้าปากก็เป็นเรื่องปกติของผู้คนในอาณาจักรไบแซนไทน์ แต่แล้วเรื่องก็ดำเนินมาถึงจุดหักเหที่สำคัญ เมื่อหลานสาวของเจ้าผู้ปกครองอาณาจักรไบแซนไทน์นามว่า มาเรีย ได้พบรักกับเจ้าชายแห่งเมืองเวนิส เมืองสำคัญของอิตาลีในปัจจุบัน แล้วการอภิเษกสมรสโดยให้เจ้าสาวย้ายบ้านไปอยู่เมืองของเจ้าบ่าวก็เป็นเรื่องของคนสมัยนั้น มาเรียก็ขนข้าวขนของมุ่งหน้าไปยังเวนิส โดยไม่ลืมที่จะเอาส้อมทองคำคู่ใจติดตัวไปด้วยในงานอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงจากอาณาจักรไบแซนไทน์กับเจ้าชายแห่งเวนิส มีการตระเตรียมอาหารและเครื่องดื่มนานาชนิด พืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะอาหาร แต่สิ่งที่ทำให้แขกเหรื่อชาวยุโรปร้องจ๊ากขึ้นมา เมื่อเจ้าหญิงมาเรียหยิบส้อมทองคำของเธอขึ้นมาจิ้มอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย ชาวยุโรปตกอดตกใจ ต่างรีบยกไม้ยกมือขึ้นมาขอประทานอภัยต่อพระผู้เป็นเจ้าที่ได้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ด้วยความที่เจ้าหญิงมาเรียเป็นคนต่างเมือง เธอก็ไม่รู้ประสีประสาถึงวัฒนธรรมบนโต๊ะอาหารของชาวยุโรปมาก่อน จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงตามมาจนได้ไม่กี่ปีต่อมา เจ้าหญิงมาเรียสิ้นพระชนม์ลง แต่ไม่ได้จากโลกนี้ไปเพราะใช้ส้อมจิ้มอาหาร แต่เกิดจากโรคระบาดที่กำลังทวีความรุนแรงในทวีปยุโรปสมัยนั้น แต่อย่างที่ได้บอกไป ในยุคที่ความเชื่อทางศาสนาครอบงำผู้คนอย่างเข้มข้น นักบุญท่านหนึ่งนามว่า ปีเตอร์ เดเมียน ได้โหมกระพือข่าวว่าเจ้าหญิงไบแซนไทน์สิ้นพระชนม์เพราะถูกพระเจ้าลงโทษที่ใช้ส้อมกินอาหาร ชาวบ้านชาวเมืองก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ แล้วเรื่องราวก็เป็นไปตามบทที่ศาสนจักรวางเอาไว้ ตั้งแต่นั้นมาส้อมกลายเป็นของต้องห้ามในทวีปยุโรป มีการกวาดล้างเอาส้อมไปทำลาย ไม่มีใครหน้าไหนกล้าใช้ส้อมอีกเลยตลอดหลายร้อยปีแต่แล้วส้อมก็กลับมาปรากฎบนโต๊ะอีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ 17 ส้อมกลับมาในฐานะแฟชั่นแห่งมื้ออาหาร ราชวงศ์อังกฤษเป็นผู้ปฏิวัติวัฒนธรรมอาหารโดยการใช้ช้อนส้อม เพราะสมัยนั้นการรับประทานอาหารเช้ากลายเป็นเรื่องของการอวดยศฐาบรรดาศักดิ์ของชนชั้นกระฎุมพี (เรื่องนี้เคยเขียนเล่าเอาไว้ในบทความเรื่อง เมนูลับระดับตำนาน จานอาหารราชินีอังกฤษ) ส้อมถูกนำมาใช้คีบถั่วลิสงและจิ้มเนื้อสัตว์ ก่อนจะปรับเปลี่ยนให้มีสี่ซี่และส่งต่อการใช้งานไปทั่วโลก ตั้งแต่นั้นมาทุกประเทศต่างก็ใช้ช้อนส้อมในการรับประทานอาหาร เป็นอุปกรณ์คู่ครัวเรือนมาจนถึงทุกวันนี้นั่นเองเครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย Moritz320 : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 1 โดย Congerdsign : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 2 โดย AlLes : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 3 โดย Remi Moebs : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 4 โดย Sun Koh : UNSPLASHบทความอื่น ๆ ของผู้เขียนที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอาหาร- ทำไมอาหารมื้อเช้าเป็นของต้องห้ามในยุคมืด