ภาพปกโดยผู้เขียน ลุงวีโปรดปรานหนังสือมาตั้งแต่เด็ก...ตอนเด็กมุมที่ชอบไปใช้ชีวิตที่สุดคือ "ห้องสมุด" ของโรงเรียน จำได้ว่าชอบอ่านแนว "พัฒนาตนเอง" กับ "เครื่องบินเล็ก" ของช่างอากาศพอเข้ามหาวิทยาลัยก็เพลินเลย ได้ขยับจาก "ห้องสมุด" ไปเป็น "หอสมุด" แล้ว คราวนี้มีหนังสือให้อ่านเป็นตึกเลย ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องเข้าหอสมุดจบออกมาทำงานแล้ว ชีวิตก็ยังคงมีความสุขอยู่กับหนังสือ เวลาไปห้างก็ไปอยู่ตามร้านหนังสือที่จริงงานเสริมที่ทำก็เกี่ยวกับหนังสือนะ คือ เป็นนักแปลหนังสือ ไม่ใช่แปลน้อย ๆ แต่แปลไปแล้วเกิน 50 เล่ม ทั้งนวนิยาย และฮาวทู ได้เงินจากหนังสือมาหลายล้านพูดมาถึงตรงนี้หลายคนอาจตกใจแกมสงสัยว่าไอ้นี่มันโม้หรือเปล่า ลองเอาแค่เดือนละ 10,000 คูณ 30 ปีดูสิครับ จะเห็นว่าเป็นเงิน 3,600,000 เข้าไปแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเวลานานเงินก็เลยมากภาพส่วนหนึ่งของหนังสือฝีมือลุง... แต่เดี๋ยวนี้...งานแปลหนังสือเริ่มหดหาย จนลุงวีต้องขยับขยาย (ก่อนจะอดตาย) ไปทำงานแปลผ่านเว็บ รับแปลให้กับทั้งบริษัทในไทยและต่างประเทศตอนจะเข้าวงการใหม่นี้ยากเอาเรื่อง แม้จะเป็นนักแปลแต่ไม่ชอบเขียนภาษาอังกฤษ นึกจะเขียนทีไรปวดหัวทุกที แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาแปลอะไรกันบ้าง แต่ก็ดิ้นรนหาทางเข้าไปจนได้ ไว้วันหลังจะมาเล่าประสบการณ์ตรงนี้ให้ฟังนอกจากงานแปลหนังสือจะหดหายแล้ว ร้านขายหนังสือก็ยังหดหายตามไปด้วย ยังนึกภาพร้านซีเอ็ดที่พันธุ์ทิพย์งามวงศ์วานที่ลุงชอบไปเดินได้เลย ตามปกติจะมีคนเดินเข้าออกขวักไขว่ บางทีก็มีเด็กมานั่งขัดสมาธิอ่านหนังสือเกะกะ แต่ก็เป็นสถานที่ซึ่งพอนึกถึงแล้วมีความสุขดีแต่แล้วร้านนี้ก็ปิดตัวลงสาขาที่บิ๊กซีสายไหม และบิ๊กซีลำลูกกาคลอง 4 ก็เช่นกัน สองสาขานี้ลุงได้มีโอกาสสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง เริ่มจากการมีคนเข้าร้านน้อยลง จนเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนมีเราเดินอยู่คนเดียว เหมือนมีแต่เรากับพนักงาน แล้วก็เริ่มมีผลิตภัณฑ์อื่นเข้ามาวางขายแซมหนังสือ คือ ทางร้านน่าจะหาทางปรับตัวสู้กับจำนวนคนอ่านหนังสือที่หดตัวลง แต่แล้วก็ไม่ไหว 2 สาขานี้ก็เลยต้องปิดตัวลงไปอีก มาถึงตอนนี้ไม่รู้แล้วว่ายังมีสาขาไหนของซีเอ็ดเปิดอยู่อีกบ้างหรือเปล่า เขียนมาถึงตรงนี้เข้าไปดูเว็บของซีเอ็ดพบว่ามีสาขาในกรุงเทพ 55 สาขา ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าเป็นข้อมูลที่อัปเดตแล้วหรือเปล่าภาพจากเว็บของซีเอ็ดฯ นอกจากซีเอ็ดแล้ว ตอนที่เข้าไปเดินในร้านของอมรินทร์ ที่ชื่อ "นายอินทร์" ก็ได้พบว่าตัวเองเดินอยู่คนเดียวอีกเหมือนกัน แต่เนื่องจากร้านนี้มีสายป่านยาวจากกิจการหลายประเภท จึงน่าจะยังทนได้อีกพอควรสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ก็เลยหันไปขายหนังสือตามงานหนังสือเป็นหลัก แต่ระยะหลังมานี้งานหนังสือก็มีความคึกคักน้อยลงหลายคนคิดว่า eBook จะมาแทนหนังสือเล่ม ทีแรกก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่มาถึงวันนี้ แม้หนังสือจะหดหายแต่ eBook ก็ไม่ได้คึกคักแต่อย่างใด สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากการที่ eBook ของไทยอยู่ในรูปแบบ .pdf ทำให้อ่านยากหรือ Facebook จะมาแทน...Facebook มีความคึกคักจริง แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งสิ่งที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของทุกวันนี้ได้ครบถ้วนมากที่สุดก็คือ "มือถือ" ต่างหาก เพราะในมือถือมี Facebook, ไลน์, Google assistant, Google chrome, Google ฯลฯ ที่สำคัญคือมีอินเทอร์เน็ต ที่สามารถตอบโจทย์เราได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในด้านความบันเทิง หรือความรู้ และยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสื่อสารอีกด้วย ที่จริงแล้วเราไม่ควรเรียกมันว่า "โทรศัพท์มือถือแล้ว" เพราะการใช้เป็นโทรศัพท์ถือเป็นเรื่องรอง คุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างคือมันถ่ายรูปได้ ทำท่าจะดีกว่ากล้องแพง ๆ แล้วด้วย อย่างน้อยของหัวเหว่ยก็มีเลนส์ไลก้า ความละเอียดก็สูงกว่ากล้อง DSLR ดี ๆ หลายตัว แม้ว่าเลนส์จะเล็ก เซ็นเซอร์รับภาพจะเล็ก แต่สักวันมันต้องพัฒนาไปจนเหนือกว่ากล้อง DSLR ได้จริง ๆที่จริงแล้ว "มือถือ" ในทุกวันนี้น่าจะเป็น "คอมพิวเตอร์มือถือ" มากกว่าแต่แค่คำว่า "คอมพิวเตอร์" ก็ดูเหมือนว่าจะยังแคบไป ต้องเรียกว่ามันเป็น "ผู้ช่วยอัจฉริยะ" จึงจะถูกในเมื่อเรามี "มือถือ" ให้ใช้กันอย่างนี้แล้ว มือของเราก็คงไม่ว่างพอที่จะให้ไปใช้ถือ "หนังสือ" กันสักเท่าไหร่แล้วละครับ ผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คงต้องเร่งปรับตัวกันไปพิมพ์ดีดไปแล้ว กล้องฟิล์มก็ไปแล้ว "หนังสือ" ล่ะครับ...น่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน ว่าจะอยู่หรือไปกันแน่... และจะทวนกระแสโลกาภิวัตน์ได้อีกนานเท่าไหร่ (คำว่า "โลกาภิวัตน์" ที่เคยเป็นคำใหม่ ฟังดูโก้เก๋ ตอนนี้เขียนแล้วยังรู้สึกว่าเก่าแก่ไปเสียแล้ว)