“หนาง” คือ ภูมิปัญญาในการถนอมอาหารของชาวบ้านทางภาคใต้ ประวัติอย่างเป็นทางการไม่ทราบแน่ชัด แต่ในแง่ของการใช้ในครัวเรือนของตนเองจะพบเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ เนื่องจากในอดีตไม่มีตู้เย็น การถนอมอาหารจึงเป็นสิ่งจำเป็น “หนาง” มีกรรมวิธีไม่ยุ่งยาก แค่นำเนื้อสัตว์มาหมักดองเพื่อให้เก็บรักษาไว้บริโภคได้นานขึ้น สามารถทำได้กับทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อไก่ แล้วแต่ความต้องการ ยายเล่าว่า เดิมการทำหนางมักจะใช้ส่วนหัวหมู หูหมู ซึ่งเป็นส่วนที่คนไม่นิยมกิน นำมาหมักเกลือกับน้ำตาลประมาณ 3 - 4 วัน ก็จะได้เป็นหนางที่มีรสชาติเปรี้ยว บ้างนำมาย่างไฟอ่อนๆ เพื่อให้เกิดความหอมก่อนหมัก ต่อมามีการใช้เนื้อสัตว์ที่หลากหลายขึ้น ทั้งชนิดและส่วนประกอบ ขึ้นอยู่กับว่ามีเนื้อสัตว์ชนิดไหนหรือชอบชนิดไหนมากเป็นพิเศษ กรรมวิธีง่ายๆ ใครๆ ก็ทำได้ เริ่มจากนำเนื้อสัตว์ หมู วัว หรือเนื้อไก่ ตามชอบ ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ใส่เกลือ น้ำตาล (น้ำตาลแว่น/น้ำตาลปี๊บ) หยวกกล้วยหั่น ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ภาชนะที่มีฝาปิดให้มิดชิด ทิ้งไว้ประมาณ 3 - 4 วัน การรับประทานหนาง เมื่อทำการหมักดองจนกลายเป็นหนางเรียบร้อยแล้ว ต้องนำหนางไปปรุงอีกครั้ง เช่น นำไปต้มกะทิ แกงกะทิ ผัด ทอด ก็ได้ เช่น เมนูหนางหมูต้มกะทิ เริ่มต้นจากการใส่หางกะทิตั้งไฟ ใส่ข่า ตะไคร้ ขมิ้น กระเทียม หอมแดง เมื่อกะทิเดือดใส่หนางหมู ที่หมักไว้ รอเดือด เติมหัวกะทิ ใส่เกลือ ใส่น้ำ มะชามเปียก ปรุงรสตามชอบ ใส่พริกขี้หนูสดและใบมะกรูด ผลการใช้ภูมิปัญญา ทำให้ชาวบ้านเก็บรักษาเนื้อสัตว์ไว้กินได้นานขึ้น ทั้งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ต้องการนำเนื้อสัตว์ส่วนที่คนไม่ชอบมาทำให้เกิดประโยชน์ เป็นการใช้ภูมิปัญญาในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า วัตถุดิบที่ใช้ก็หาได้ง่ายรอบตัวทั้งเกลือ น้ำตาล หรือหยวกกล้วย ที่สำคัญการใช้ภูมิปัญญาทำหนาง ทำให้เกิดเป็นอาหารยอดนิยม เป็นเอกลักษณ์ของชาวปักษ์ใต้ นับได้ว่า หนาง เป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษชาวปักษ์ใต้ ที่สามารถนำทรัพยากรเนื้อสัตว์ส่วนที่คนไม่ชอบมาดัดแปลงให้เป็นอาหารเลิศรส เก็บไว้ได้นาน สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนู ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ต้องยกนิ้วให้ ทำให้คนรุ่นเรายังได้กินของอร่อยๆ จากการถนอมอาหาร ปรุงแต่งได้หลากหลายเมนู เกิดเป็นเอกลักษณ์อาหารปักษ์ใต้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรระวังในการรับประทานแหนง คือ ความสะอาดในกระบวนการทำหนาง ซึ่งจะส่งผลสำคัญต่อคุณภาพของหนาง หนาง เป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ อย่าลืมหันมองภูมิปัญญาใกล้ตัวแล้วช่วยกันรื้อฟื้นเพื่อส่งต่อให้ลูกหลานนะคะ ขอบคุณภาพปกจาก www.canva.com ภาพประกอบบทความโดยผู้เขียน