หนาวนี้เรามีนัดกันที่...ขุนวาง สวัสดีค่ะ ฉบับนี้ผู้เขียนจะมาเล่าถึงประสบการณ์ ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสได้ไปเยือน ถนนสายสีชมพูท่ามกลางหุบเขาและอากาศหนาวเย็นของช่วงฤดูหนาวปลายๆ เดือนมกราคม ซึ่งเป็นช่วงที่ ดอกพญาเสือโคร่ง กำลังเริ่มต้นอวดโฉม เบ่งบาน เชิญชวนให้ นักท่องเที่ยวที่นิยม เที่ยวเชิงอนุรักษ์ ได้เดินทางมายลโฉมนางเอกของเรื่อง นั่นก็คือ ดอกซากุระดอย หรือ ดอกพญาเสือโคร่ง นั่นเองค่ะ เมืองไทยเรานั้น มีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติอยู่หลายที่กระจายกันออกไปทั่วทุกภาค และหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่บรรดานักท่องเที่ยวนิยมแวะมาสัมผัสบรรยากาศและดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สมบูรณ์ของผืนป่าอีกที่หนึ่งนั่นคือ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย อุณหภูมิในช่วงฤดูหนาว อากาศบนยอดดอยนั้น จะหนาวเย็น ถ้าวัดด้วยเทอร์โมมิเตอร์ บางวันอาจได้สัมผัสอากาศติดลบกันบ้าง ก็เป็นสีสันของการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ก็เป็นได้ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่(ขุนวาง) ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เป็นจุดเช็คอินที่บรรดานักท่องเที่ยวนิยมแวะชื่นชมความสวยงามด้วยเช่นกัน ผู้เขียนขออนุญาต ใช้คำเรียกศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่สั้นๆ เพื่อความสะดวกอ่านง่าย ๆ ว่า "ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงขุนวาง" คุณผู้อ่านจะได้ไม่สับสน และเข้าใจเนื้อหาง่ายขึ้นนะคะ การเดินทางไปยังศูนย์วิจัยเกษตรหลวงขุนวางใช้เส้นทางหลวงหมายเลข1009 เส้นทางเดียวกับทางขึ้นไปดอยอินทนนท์ล่ะค่ะ ผ่านด่านตรวจที่ 1 ไปจนไปถึงก.ม.ที่ 31 ก็เลี้ยวขวาจะมีป้ายบอกทางบริเวณสามแยกสังเกตได้ง่าย ชัดเจน จากนั้นก็ขับตรงไปประมาณ 16 กิโลเมตร ระหว่างทางเราจะเห็นไร่สตรอว์เบอร์รีตลอดสองข้างทาง สามารถแวะถ่ายรูปและเก็บสดได้ ยังมีไร่ชาอีกด้วย สามารถแวะพักหรือถ่ายรูปได้ตลอดทางค่ะ ก่อนถึงศูนย์วิจัยเกษตรหลวงขุนวาง เราจะเห็น โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ ตามพระราชดำริในพื้นที่ภาคเหนือ เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีดอกพญาเสือโคร่งให้ได้ถ่ายรูป พร้อมทั้งมีโรงเรือนเพาะเลี้ยงและอนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารีให้เราได้เก็บภาพสวยๆ กลับไปอีกด้วย เสน่ห์ของต้นพญาเสือโคร่งที่นี่แตกต่างจาก ศูนย์วิจัยเกษตรขุนวางตรงที่ ที่นี่จะปลูกรอบๆ อ่างเก็บน้ำ เวลาถ่ายรูปเราจะเห็นภาพสะท้อนของต้นพญาเสือโคร่งและต้นไม้อื่นๆ โดยรอบ สะท้อนบนผืนน้ำ สีเขียวของต้นไม้โดยรอบตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าและสีชมพูของดอกพญาเสือโคร่ง เหมือนภาพสีน้ำมันสวยๆ ภาพหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า ยิ่งทำให้ภาพนั้นเด่นชัดขึ้นสวยขึ้น จนเป็นภาพความทรงจำในทริปนี้ได้เลย หลังจากเก็บภาพสวยๆ ได้แล้วเราก็ไม่รอช้ารีบเดินทางกันต่อเพื่อไปจุดหมายหลักที่รอคอยเราอยู่ นั่นคือ ถนนสายสีชมพู ถนนซากุระดอย ซึ่งหนึ่งปีจะบานอวดโฉมเพียงครั้งเดียว กล้องพร้อม คนพร้อม เราไปกันเลยค่ะ พอถึงศูนย์วิจัยเกษตรหลวงขุนวาง ภายในตัวศูนย์จะมีจุดบริการนักท่องเที่ยวมีไว้บริการ เครื่องดื่มและอาหารเช้าแบบง่ายๆ และยังเป็นจุดจำหน่ายของที่ระลึก ของฝากอีกด้วย ผลผลิตของทางศูนย์วิจัยเอง เช่น แมคคาเดเมีย น้ำมันสกัดจากแมคคาเดเมีย ชาชนิดต่างๆ แวะอุดหนุนสินค้าของทางศูนย์วิจัยเกษตรหลวงขุนวางไปเป็นของฝากก็น่าจะดี เราแวะเติมพลังกันเสร็จก็ถึงเวลาที่เราต้องเดินไปยังจุดหมายที่เราต้องการกันเสียที ใช้เวลาไม่นานนัก และไม่เหนื่อยเลย ผู้เขียนขอแนะนำว่าถ้าต้องการเก็บภาพสวยๆ จำนวนนักท่องเที่ยวไม่เยอะมากนักให้มาถึงแต่เช้ามืด พอแสงพระอาทิตย์เริ่มสาดส่องก็เริ่มต้นเก็บภาพได้เลย แสงจะสวย แถมอากาศหนาว เราจะไม่เหนื่อยเวลาเดินเท้าเข้าไป ดอกพญาเสือโคร่งที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงขุนวางจะเริ่มต้น บานจริงๆ จะเป็นช่วงปลายเดือนมกราคมของทุกๆ ปี จนถึงกลางๆกุมภาพันธ์ก็จะเริ่มโรยใบอ่อนของต้นเริ่มแทงยอดใหม่อีกครั้ง เพราะฉะนั้นควรเช็คสภาพอากาศและการสลัดใบทิ้งดีดี เราสามารถเช็คได้ทางเพจของทางศูนย์วิจัยเกษตรหลวงขุนวางได้โดยตรง เราจะได้ไม่พลาดที่จะได้เห็นถนนสายสีชมพูทั้งสาย ความยาวร่วมๆ 500 เมตร ที่ตลอดเส้นทางมีแต่สี "ชมพู" กันค่ะ ก่อนกลับ ก็แวะอุดหนุนตลาดชุมชนของชาวดอย ที่มาเปิดขาย ไม่ว่าจะเป็นผักสด ผลไม้เมืองหนาวต่างๆ ต้นกล้าดอกพญาเสือโคร่ง บางทีมีผักหน้าตาแปลกๆ มาวางขายก็มีค่ะ ผู้เขียนมีโอกาสได้อุดหนุนทุกปี เพราะผักและผลไม้ สดอร่อยจริงๆ ค่ะ อีกอย่างช่วยเหลือชาวดอย เราด้วย อย่างน้อยๆ เราก็ยึดนโยบาย กินของไทย เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋าไว้ก่อนละค่ะคุณผู้อ่าน เครดิตภาพและภาพปก จาก ผู้เขียน นามปากกา THUNNAPAS