ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปยังแคว้นแคชเมียร์ประเทศอินเดียในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2562 เนื่องจากว่าไปอบรมโยคะที่เมืองดารัมชาล่าเป็นระยะเวลา 1 เดือนและมีเวลาเหลือ 1 สัปดาห์ในการเที่ยวจึงนัดเพื่อนที่เป็นชาวแคชเมียร์ให้เป็นไกด์จำเป็นให้พาเที่ยว ผู้เขียนเดินทางจากเมืองดารัมชาล่าโดยรถยนต์ใช้เวลาทั้งสิ้น 12 ชั่วโมง โดยมีพี่นักเรียนโยคะซึ่งร่วมชะตากรรมเดินทางไปด้วยกันพร้อมคนขับรถและไกด์จำเป็น ในระหว่างเดินทางเป็นช่วงที่รัฐบาลกำลังจะเปลี่ยนเมืองหลวงจากจัมมูเมืองหลวงฤดูหนาวไปยังศรีนาการ์ รถจึงติดมากมายและไม่สามารถผ่านด่านเข้าไปได้เพื่อนจึงบอกว่าอาจต้องนอนติดบนถนนจนถึงวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ผู้เขียนจึงได้แต่อธิษฐานในว่าขอผ่านเข้าไปเหอะ การตัดสินใจมาเที่ยวแต่ต้องติดแหงกบนถนนนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่โชคดีในช่วงที่ไปลงทะเบียนขอเข้าเมืองผู้เขียนได้แสดงพาสปอร์ตและบอกเหตุผลในการเดินทาง กับทหารที่เป็นหัวหน้าด่านจึงเป็นที่น่ามหัศจรรย์ที่รถเราสามารถเดินทางต่อได้ผ่านฉลุยและเป็นคันเดียวที่ด่านเปิดให้ ฤานี่คือพรหมลิขิต คุณคะเมื่อรถอิชั้นได้ลอดผ่านอุโมงค์ที่เจาะเขาเมื่อครั้งจักวรรดิอังกฤษเค้าทำไว้เป็นประตูแรกของแคชเมียร์ จากฟากหนึ่งของอุโมงค์มายังปลายอุโมงค์มันคือคนละโลก อากาศสดชื่นเย็นสบาย ภูเขาน้ำแข็งที่สวยงาม มันเปลี่ยนเป็นลืมภาพเหตุการณ์ไม่สงบจากความขัดแย้งปากีสถานและอินเดียไปหมดสิ้น เมื่อไปถึงศรีนาการ์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคชเมียร์อีกที่ ในครั้งนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนได้ทราบว่า แคชเมียร์ เป็นดินแดนที่มีความสวยงามสภาพภูมิประเทศมีความมหัศจรรย์ในขณะที่ไปนั้นเป็นช่วงที่เริ่มต้นของฤดูร้อน แต่พื้นที่บางส่วนยังคงปกคลุมไปด้วยหิมะ เนื่องจากเทศกาลดอกทิวลิป จะมีในช่วงกลางเดือนเมษายนของทุกปี พอถึงสิ้นเดือนเมษายนดอกทิวลิปก็จะโรยรา เราจึงพลาดโอกาส รายการที่ชมทุ่งทิวลิป แต่ถึงกระนั้นก็มีความ สวยงามของอุทยานดอกไม้ที่ไปเยี่ยมทั้ง 7 แห่ง ทำให้ทราบว่ากษัตริย์ของแคชเมียร์ เป็นกษัตริย์ที่มีความโรแมนติก เพราะทัศนียภาพของสวนดอกไม้ทุกแห่งนั้น ได้ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี การจัดดอกไม้ความสะอาดของสถานที่ เป็นที่น่าประทับใจ จนผู้เขียนลืมไปเลยว่าอยู่ในประเทศอินเดีย การไปในครั้งนี้ เมื่อเราไปถึงเราได้พักที่บ้านเรือซึ่งเป็นบ้านพักของเพื่อนชาวแคชเมียร์ที่พาเราเที่ยว บ้านเรือนั้นถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองศรีนาการ์ เพราะที่นี่มีทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ ที่เราเรียกว่าที่มีชื่อเรียกว่า Dale Lake วิถีชีวิตของผู้คนติดรามบ้านช่องมีความใหญ่โตมโหฬาร เพื่อนของผู้เขียนบอกว่าชาวแคชเมียร์ มีสองสิ่งในชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ คือ 1. การสร้างบ้าน และ 2. การแต่งงาน การแสดงออกถึงฐานะของคนแคชเมียร์ซึ่งเป็นบ้านหลังที่ใหญ่โต และหลังจากนั้นบิดามารดาจะหาสะใภ้ให้ลูกชายและจัดงานแต่งงานที่มีการฉลองถึง 7 วัน 7 คืนจึงไม่แปลก หนุ่มชาวแคชเมียร์จะทำมาหาเก็บเพื่อบ้านและสินสอดขอสาวแต่งงาน ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จหนึ่งของชีวิต ผู้เขียนได้พักอยู่ที่บ้านเรือทำให้ทราบว่าการเป็นอยู่ของชาวแคชเมียร์นั้น มีความใกล้ชิดสนิทสนมในครอบครัวเป็นอย่างมาก เพราะสมาชิกทุกคนภายในครอบครัวจะนอนรวมอยู่ที่ห้องเดียวกันไม่ว่าพ่อแม่พี่ชายน้องสาว ทุกคนจะนอนรวมกัน และตอนเช้า เราก็จะเห็นว่าเขาจะพับผ้าห่มที่นอน รวมกัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร จานที่ใส่ข้าวรับประทานอาหารของชาวแคชเมียร์นั้น โอแม่เจ้า! ทำไมมันมีขนาดใหญ่มากบ้านเราเรียกว่าถาดเหอะ เพราะมันสามารถใส่ข้าวกินได้ 3-4 คนของเขา แต่บ้านเรานี่น่าจะกินได้ 7-8 คนและนิยมใช้มือในการเปิบอาหารมากกว่าการใช้ช้อนเพราะชาวแคชเมียร์เชื่อว่ามือของคนเรามีเอ็นไซน์ที่ช่วยย่อยอาหารทำให้ไม่อิดท้อง และอาหารที่เป็นอาหารหลักส่วนใหญ่ของชาวแคชเมียร์จะเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อแพะ ไก่ วันนั้นเวลคัมดริงค์ของพวกเราเป็นชาแชฟฟร่อน ที่นำเกสรหญ้าแซฟฟร่อนหรือหญ้าฝรั่นมาต้มกับท่อนชะเอมเทศและน้ำตาลกรวด จะมีรสออกหวานหอมกลิ่นชะเอมเทศผสมกลิ่นเกสรหญ้าฝรั่นสีเหลือง และอาหารมื้อแรกในศรีนาการ์เนื้อย่าง มีทั้งเนื้อวัว, เนื้อแพะ, เนื้อไก่ และเนื้อปลาแล้วแต่ความชอบ ที่แคชเมียร์นั้น เนื่องจาก เป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ ทรัพยากรธรรมชาติ ผักผลไม้ของที่นั่น สามารถปลูกได้ โดยที่ไม่ต้องใช้สารเคมีมากมาย เนื่องจากดินที่ ตกตะกอนของแม่น้ำ ทะเลสาปได้มารวมกันที่ริมฝั่งตลิ่งและเกษตรกรก็จะปลูกผักข้างตลิ่งหรือเกาะกลางน้ำ ผักที่แคชเมียร์มีความสูงใหญ่และอวบน่ากินมากแต่ชาวแคชเมียร์จัดอยู่ในประเภทชอบมังสาหาร คือชอบกินเนื้อนั่นเอง เมนูของชาวแคชเมียร์จึงเน้นไปทางเนื้อและใช้เครื่องเทศดับคาว เมนูที่ผู้เขียนชอบมาก ๆ คือแกงไก่ทอดใส่โยเกิร์ตส่วนเนื้อแพะนั้นความคิดเห็นส่วนตัวคือไม่ชอบกลิ่นของเนื้อแพะจ้า เราใช้เวลาที่สีนากา 2 วัน โดยพักอยู่ที่บ้านเรือทำอาหาร และมีห้องพักแยก 2 คน หลังจากนั้นจึงเดินทางไปที่พาฮาลแกมหรือหุบเขาแกะ อยู่ห่างจากศรีนาการ์ประมาณ 2 ชั่วโมงด้วยการเดินทางโดยรถยนต์ เป็นหุบเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,130 เมตร ไฮไลท์ของการมาเที่ยวที่นี่คือการขี่ม้าชมป่าสนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ และเสน่ห์ของป่าสนที่ลดหลั่นกันตามความสูงของไหล่เขา สลับกับสีสันของบ้านเรือน บวกกับทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างสุดลูกหูลูกตา ลำธารที่สวยงามใสสะอาดและที่นี่มีลาน Camping ที่สามารถที่จะให้คุณขี่ม้าและแคมปิ้งได้อย่างสนุกสนานและสามารถที่จะเล่นสกีได้ในฤดูหนาวแนะนำให้เดินทางมาในช่วงฤดูร้อน เพราะจะได้เห็นความเขียวขจีของทุ่งหญ้าป่าสนเขา และยังมีภูเขาและภูเขาที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งสวยงามดังฉายาสวิตเซอร์แลนด์เอเชียจึงไม่แปลกว่า ความสวยงามของพาฮาลแกมจะเป็นที่น่าหลงใหลของเหล่าบรรดานักเดินเขา เราพักที่พาฮาลแกม 1 คืน หลังจากนั้นจึงเดินทางไปยัง กุลมาร์ก (Gulmarg) เป็นชื่อภูเขาที่สวยงามที่สุดของแคชเมียร์ เป็นสถานที่เล่นสกีที่ขึ้นชื่อว่าถูกที่สุดในโลกทัศนียภาพที่สวยงามไม่แพ้แถบยุโรปวิวมุมสูงของที่นี่งดงามมากซึ่งเราจะมองเห็นได้โดยการนั่งกระเช้าไฟฟ้าที่ชาวแคชเมียร์เรียกว่า Gondola ขึ้นไปเล่นสกี ที่นั่นแม้จะเป็นฤดูร้อนแต่บนกุลมาร์กมีหิมะตกตลอด เราสามารถไปเล่นสกีหรือเล่นลากเลื่อนหิมะได้อย่างสนุกสนานเราพักที่โรงแรมบนกุลมาร์ก 1 คืน แล้วจึงกลับมาที่ศรีนาการ์อีกครั้ง ผู้เขียนได้มีโอกาสล่องเรือชิการ่า ไปตามทะเลสาป Dale Lake ซึ่งได้มีโอกาสชมวิถีชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเรือ จะมีการมีเรือขายของ ขายชา ขนม ผ้า สินค้าที่ระลึก กระเป๋าซึ่ง และยังมีโอกาสเดินทางไปดูการทอผ้าพัชมิน่าและพรม งานหัตกรรมอันเลื่องชื่อของแคว้นแคชเมียร์ ชาวแคชเมียร์เป็นมิตรและน่ารักกับนักท่องเที่ยว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิถีชีวิตที่ผู้เขียนได้สัมผัสมันเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายผู้คนมีน้ำใจยิ้มแย้มแจ่มใส ถึงแม้ชีวิตของชาวแคชเมียร์จะเหมือนต้องคำสาป มีเหตุการณ์ไม่สงบบ่อยครั้ง ปิดเมือง ประชาชนทำมาหากินลำบากเพื่อนผู้เขียนบอกจะทำอย่างไรในเมื่อสิ่งเหล่านี้พอเกิดมาจำความได้ก็เจอแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของแคชเมียร์ลดลงเลย หลงรักแคชเมียร์! ภาพถ่ายโดยแทนใจ