สวัสดีครับเพื่อนๆวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปเจาะลึกแบบทะลุทะลวงถึงแก่นของเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากันครับว่ามันมีอะไรบ้างที่ซ่อนอยู่ในนั้น วันนี้เราจะได้รู้จักกับเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเหมือนเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมาเลยครับ ก่อนอื่นผมจะอธิบายให้ทุกท่านได้เข้าใจอย่างง่ายๆว่าเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชนิดไฟฟ้ากระแสสลับนั้นถ้าเราใช้ความแตกต่างของหัวชาร์จเป็นตัวจำแนก หลักๆแล้วที่เราพบเจอกันโดยทั่วไปจะสามารถแบ่งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชนิดไฟฟ้ากระแสสลับได้เป็น 2 ประเภทครับ คือ1.หัวชาร์จชนิด Type 12.หัวชาร์จชนิด Type 2 หัวชาร์จ 2 ประเภทนี้มีความใกล้เคียงกันมากๆ แต่ต่างกันที่หัวชาร์จชนิด Type 2 นั้นสามารถรับกำลังไฟฟ้าได้สูงมากกว่าหัวชาร์จชนิด Type 1 เท่านั้นนอกนั้นเหมือนกันหมดแทบ 100% ซึ่งสำหรับประเทศไทยนั้นเราได้กำหนดให้หัวชาร์จชนิด Type 2 นั้นเป็นมาตรฐานสำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าผ่านไฟฟ้ากระแสสลับครับ ข้อแตกต่างอีกข้อที่เห็นได้ชัดระหว่างหัวชาร์จ Type 1 กับหัวชาร์จ Type 2 นั่นก็คือ หัวชาร์จ Type 2 นั้นมีจำนวนรูเยอะกว่าหัวชาร์จ Type 1 ซึ่งการที่มีจำนวนรูเยอะกว่านั้นเป็นเพราะว่าหัวชาร์จ Type 2 สามารถรองรับการใช้งานไฟฟ้าสลับแบบ 3 เฟสได้ครับ(ประกอบไปด้วยรูสำหรับสาย CP PP L1 L2 L3 N และ G) ส่วนType 1 นั้นรองรับแค่เพียงไฟฟ้าสลับแบบ 1 เฟส (ประกอบไปด้วยรูสำหรับสาย CP PP L1 N และ G) นั่นเอง นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมหัวชาร์จ Type 2 ถึงรองรับกำลังไฟฟ้าได้สูงกว่าหัวชาร์จ Type 1 นั่นเองครับ ขั้นตอนต่อไปเราจะมาเจาะลึกกันครับว่ารูทั้งหมดของหัวชาร์จทั้ง 2 ประเภทนี้มีหน้าที่ทำอะไรกันบ้าง อย่างแรกให้เรามองหารู 2 รูที่เล็กที่สุดของหัวชาร์จทั้งคู่ซึ่งผมได้วงกลมไว้ให้ดูแล้วครับตามภาพด้านบน(Type 1 ฝั่งซ้ายส่วนType 2 ฝั่งขวา) เราจะเห็นได้ว่ารูเล็ก 2 รูนี้อยู่เป็นคู่ตรงกลางสำหรับหัวชาร์จ Type 1 และอยู่เป็นคู่บนสุดสำหรับหัวชาร์จ Type 2 รู 2 รูนี้เองที่ทำหน้าที่คอยคุยสื่อสารระหว่างรถยนต์ไฟฟ้ากับเครื่องชาร์จซึ่งรู 2 รูนี้ประกอบด้วย1.รูที่ชื่อว่า PP (Proximity Pilot)2.รูที่ชื่อว่า CP (Control Pilot) มาเริ่มกันที่ PP ครับรูนี้หน้าที่ของมันคือคอยตรวจสอบว่า ณ ตอนนี้หัวชาร์จเสียบอยู่กับรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่ รูนี้ในทางปฏิบัติมักจะถูกใช้งานจริงแค่สำหรับหัวชาร์จชนิด Type 1 ถึงแม้ว่าจะมีอยู่ทั้งในหัวชาร์จ Type 1 และ Type 2 ก็จริงซึ่งรู PP นี้จะมีวงจรบางอย่างที่สอดคล้องกับกลไกการบีบหัวชาร์จตอนเสียบครับ ข้อพิสูจน์ที่เราสามารถสังเกตได้นั่นก็คือหัวชาร์จ Type 1 จะมีปุ่มที่เราจะต้องคอยบีบปุ่มนี้ค้างไว้ก่อนที่จะเสียบเข้าไปยังรถยนต์ไฟฟ้า ถ้าเราไม่บีบปุ่มนี้เราจะไม่สามารถเสียบสายชาร์จเข้ากับรถยนต์ไฟฟ้าได้ครับ ส่วนหัวชาร์จ Type 2 เราสามารถสังเกตได้เลยว่าจะไม่มีปุ่มที่จะต้องคอยบีบแบบนี้ครับ จากรูปภาพด้านบนเราจะเห็นได้เลยว่าตอนที่ผู้ใช้งานจะเสียบสายชาร์จเข้ากับตัวรถยนต์นั้นจะต้องทำการบีบปุ่มสีส้มค้างไว้ ซึ่งปุ่มสีส้มนี่แหละครับคือกลไกการบีบหัวที่จะไปสอดคล้องกับวงจรบางอย่างในรู PP อย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นครับ ส่วนหัวชาร์จชนิด Type 2 จะไม่มีกลไกแบบนี้ครับเห็นได้ชัดเจนจากรูปภาพตัวอย่างด้านล่างนี้ครับ มาต่อกันที่รูต่อมาคือ CP รูนี้หน้าที่ของมันคือคอยสื่อสารกับรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อเจรจาตกลงกันว่าจะชาร์จด้วยกระแสไฟฟ้าสูงขนาดไหนนั่นเองครับ ซึ่งรูนี้ถือเป็นรูที่สำคัญมากๆครับเพราะถ้าไม่มีรูนี้รถยนต์จะไม่ยอมให้เครื่องชาร์จจ่ายกระแสไฟฟ้ามาให้มันอย่างเด็ดขาดครับ ส่วนรูที่เหลือก็จะเป็นรูสำหรับระบบไฟฟ้าที่จะใช้ในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั่นเองครับ เช่นเดียวกับไฟฟ้าที่เราใช้กันอยู่ตามบ้านนั่นเองซึ่งสามารถแบ่งหลักๆได้ 2 ประเภทครับคือ1.ระบบไฟฟ้า 1 เฟส 2 สาย 230 V ประกอบไปด้วยสาย L1 N2.ระบบไฟฟ้า 3 เฟส 4 สาย 380 V ประกอบไปด้วยสาย L1 L2 L3 N และยังมีอีก 1 รูที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือรูสำหรับสายดินครับ ซึ่งรูนี้จะเป็นรูที่จะช่วยให้เราได้รับความปลอดภัยจากการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครับ โดยถ้าหากมีกระแสไฟฟ้ารั่วเกิดขึ้น สายดินนี้เองจะเป็นตัวช่วยเราไม่ให้ได้รับอันตรายจากกระแสไฟฟ้ารั่วครับขอบคุณเครดิตรูปภาพจาก รูปภาพหน้าปก : Publicdomainpictures/ รูปภาพที่ 1 : Wikimedia/ รูปภาพที่ 3 : Wikimedia/ รูปภาพที่ 4 : Publicdomainfile/ รูปภาพที่ 5 : Wikipedia/