ปัจจุบันนี้ เราจะสังเกตเห็นได้ว่ามีผู้คนมากมายใช้หูฟังจากโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องเล่นเพลง ขณะอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า และสถานที่ออกกำลังกายต่าง ๆ จากที่ผ่านมา จะมีข่าวเกี่ยวกับการได้รับอันตรายจากผู้ใช้หูฟังในสถานที่ต่าง ๆ บางรายถึงกับเสียชีวิตเพราะการที่เสียบหูฟังในขณะที่เดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนขาดสติและไม่ระวังตัว หรือต่อให้เราใส่หูฟังขณะอยู่ที่บ้าน ก็อาจเสี่ยงอันตรายได้เช่นกัน หากเราใช้มันเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็น อาการเมื่อยหูและปวดหู เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการเกิดโรค "หูตึงหรือหูหนวก" ได้ ประเภทของหูฟังมี 3 ประเภท คือ1. In-Ear แบบใส่เข้าไปในหู2. Earbud แบบสวมแนบพอดีหู3. Fullsize Headphone แบบครอบที่ใบหูหูฟังในแต่ละแบบจะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป แต่แบบที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่ผู้ใช้งาน ก็คือแบบ "In-Ear" นั่นเอง เพราะได้ยินเสียงดังชัดเจน เสียงภายนอกแทรกเข้าไปยาก แต่หูฟัง In-Ear นั้นมีผลกระทบต่อประสาทการได้ยินมากกว่าการใช้หูฟังชนิดอื่น เนื่องจากตัวลำโพงหูฟังจะอยู่ใกล้กับประสาทรับเสียงในหูมากที่สุด ซึ่งหากฟังเสียงดังมากเกินกว่าระดับเสียงปกติที่คนเรารับได้ จะมีผลกระทบต่อระบบประสาทหูโดยตรงจึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการ หูอื้อ หูตึง หรือหูหนวกได้ สาเหตุหูตึงก่อนวัยอันควรการใส่หูฟังที่มีระดับเสียงดังมากเกินไป ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดคลื่นเสียงที่อาจจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหูได้ จึงมีผลกระทบต่อระบบประสาทการได้ยิน และทำให้สูญเสียการได้ยินทีละน้อย จนกระทั่งเกิดอาการหูตึงหรือหูหนวกในที่สุด การเปิดเพลงดัง ๆ ในห้อง การใช้สมอลทอล์กคุยโทรศัพท์ เมื่อทำกิจกรรมเหล่านี้เป็นประจำจะมีโอกาสทำให้หูตึงมากกว่าคนที่ไม่ใช้ และการใช้หูฟังในที่สาธารณะ หรือสถานที่ที่มีเสียงดังมาก ๆ ต้องเพิ่มระดับเสียงให้ดังมาก ๆ จนถึงขั้นเกินเกณฑ์ปกติที่มนุษย์ควรจะได้ยิน จึงส่งผลให้ในอนาคตอาจทำให้หูไม่ได้ยินเสียงพูดในระดับปกติเนื่องจากหูคนเรานั้นมีความทนต่อเสียงในขอบเขตที่จำกัดสัญญาณอาการหูตึงจากหูฟัง การได้ยินเสียง "วิ้ง ๆ" ในหู เป็นสัญญาณเตือนของอาการหูตึงและหูหนวกที่จะตามมา ถ้าก่อนหน้านี้คุยกันได้ยินชัดเจนดีอยู่ ๆ กลับไม่ได้ยินจนถึงกับต้องตะโกน แสดงว่าเริ่มมีอาการหูตึงเกิดขึ้น ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้หูตึงจึงควรสังเกตจากอาการ ดังนี้1.ได้ยินเสียงวิ้ง ๆ ในหู ทั้งที่ไม่ได้เปิดเพลง หรือใช้หูฟัง2. มีอาการมึนงง หรือยืนทรงตัวไม่ได้ เมื่อตื่นนอน3. เริ่มได้ยินเสียงไม่ชัดหูอื้อจนทำให้เกิดปัญหาในการสื่อสารควรใช้หูฟังอย่างไร ถึงจะปลอดภัยที่สุด1. หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังฟังเพลงในที่ที่มีเสียงดัง ซึ่งระดับเสียงไม่ควรเกิน50%ของระดับเสียงสูงสุด หรือปรับระดับเสียงไปที่ระดับกลาง และไม่ควรฟังต่อเนื่องเกิน 2 ชั่วโมง2. ไม่ควรเสียบหูฟังฟังเพลงตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลาเข้านอน ฟังเฉพาะในช่วงเวลาที่ต้องการหรือฟังเป็นบางช่วง ปล่อยให้หูได้พักบ้าง จะได้ลดอัตราเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพหู3. หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับคนอื่น เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคบางชนิดเช่น โรคผิวหนัง4. หมั่นทำความสะอาดหูฟัง เปลี่ยนฟองน้ำที่ใช้รองหูฟังบ่อยๆ เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นและเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ เช่น หนองใน หูหรือการอักเสบในช่องหู“หูฟัง” นอกจากให้ความบันเทิงแบบ “โลกส่วนตัว” แล้วยังมีผลต่อประสาทการได้ยินถึงขั้นเสี่ยงต่อความพิการได้ แต่ถ้าหากเรารู้จักใช้และควบคุมการใช้ให้อยู่ในเกณฑ์พอดีพอเหมาะ ทั้งระดับเสียงและระยะเวลา ก็จะไม่เกิดอันตรายแต่อย่างใดแน่นอนครับภาพปกและภาพประกอบทั้งหมดจาก Pixabay เนื้อหาบทความ : ผู้เขียน