ใครเคย อบสมุนไพรบ้าง ? สำหรับท่านที่เคย อบสมุนไพร หรือการอบสตรีม ซาวน่า คงจะพอทราบอยู่แล้วว่า การอบสมุนไพร มีดีอย่างไร แต่หากท่านใดยังไม่ทราบ เรามาหาคำตอบกันได้เลยค่ะ การอบสมุนไพร มีประโยชน์ทั้งด้านความสวยความงาม และ การดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ รวมไปถึงการดูแลหลังคลอดนั่นเอง การอบสมุนไพร สามารถทำได้ทุกเพศ ผู้ที่สามารถอบสมุนไพรได้ ควรมีอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป แต่หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนไทยประยุกต์/เจ้าหน้าที่ ก่อนทำการอบสมุนไพรทุกครั้ง สมุนไพรที่ใช้ในการอบสมุนไพร กลุ่มสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว เช่น ใบมะขาม มะกรูด ใบและฝักส้มป่อย ซึ่งเป็นสมุนไพร ที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามร่างกาย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด ทำให้ผิวหนังสะอาดขึ้น กลุ่มสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม เช่น ใบตะไคร้ ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ไพล ผิวมะกรูด เปราะหอม ว่านน้ำ ใบหนาด ช่วยให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยลดอาการหวัด คัดจมูก นอกจากนี้ ใบตะไคร้และเหง้าขมิ้น มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย ส่วนไพลมีฤทธิ์ลดอาการบวมอักเสบได้ กลุ่มที่ช่วยทำให้สดชื่น เช่น การบูร พิมเสน ช่วยบำรุงหัวใจ และรักษาโรคผิวหนังบางชนิด จะเห็นได้ว่าการอบสมุนไพร ทำให้การไหลเวียนของเลือดเพิ่มมากขึ้น ช่วยลดการอักเสบ บวม อาการปวดของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ทำให้รูขุมขนขยายออก สิ่งสกปรกถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ และสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว จะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกเหล่านั้น ให้ลื่นหลุดออกจากผิวหนังได้ง่าย ช่วยให้ผิวหนังมีความต้านทานต่อเชื้อโรคได้ดีขึ้น ทำให้ข้อที่ฝืดแข็ง ปวด ลดคลายความปวดและฝืดลง ทำให้เหงื่อถูกขับ กลิ่นหอมของสมุนไพรช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นแจ่มใส คลายความเครียด และบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก สูตรของสมุนไพร อาจแตกต่างกันไปในแต่ละที่ และตามอาการของผู้มารับบริการ ตัวอย่างเช่น ไพล ผิวมะกรูด ขมิ้นชัน ตะไคร้ ใบส้มป่อย ใบมะขามไทย การบูร พิมเสน เป็นต้น ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ชำระล้างสิ่งสกปรกบนร่างกาย นั่นเอง ก่อนที่จะทำการ อบสมุนไพร เรามาทำความรู้จัก สรรพคุณของสมุนไพร แต่ละตัวกันก่อนสักเล็กน้อย เพื่อที่เราจะเลือกสมุนไพรมาอบให้ถูกกับความต้องการ เช่น “ไพล” แก้อาการปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว “ขมิ้นชัน” แก้โรคผิวหนังสมานแผล “กระชาย” แก้ปากเปื่อย ปากแตกเป็นแผล ใจสั่น “ตะไคร้” ดับกลิ่นคาว บำรุงธาตุไฟ “ใบมะขาม” แก้อาการคันตามร่างกาย “ใบเปล้าใหญ่” ช่วยถอนผิดสำแดง บำรุงผิวพรรณ "ใบ-ลูกมะกรูด" แก้ลมวิงเวียน ช่วยระบบทางเดินหายใจ “ใบหนาด” แก้โรคผิวหนัง พุพองน้ำเหลืองเสีย “ใบส้มป่อย” แก้หวัด แก้ปวดเมื่อย “ว่านน้ำ” ช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้ “พิมเสน การบูร” บำรุงหัวใจ รักษาโรคผิวหนัง “เหงือกปลาหมอ” แก้โรคผิวหนัง พุพองน้ำเหลืองเสีย “ชะลูด” แก้ร้อนในกระสับกระส่าย ดีพิการ “กระวาน” แก้เจ็บตา ตาแฉะ ตามัว และ “เกสรทั้ง 5” ช่วยระบบทางเดินหายใจ เป็นต้นประโยชน์ของการอบสมุนไพร1. บรรเทาอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ตามส่วนต่างๆของร่างกาย2. บรรเทาอาการเหน็บชา ชาปลายมือปลายเท้า3. บรรเทาอาการหวัด คัดจมูก4. ช่วยบรรเทาอาการหอบหืด ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น5. ช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น ทำให้นอนหลับง่ายขึ้น6. ช่วยลดความดันโลหิตที่สูง ให้ต่ำลง เพราะช่วยขยายเส้นเลือดทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น7. ช่วยให้ผิวพรรณจึงผุดผ่อง เปล่งปลั่ง มีเลือดฝาด8. ช่วยให้มดลูกของมารดาหลังคลอดเข้าอู่เร็วขึ้น ช่วยขับน้ำคาวปลา ทำให้มารดาหลังคลอดสุขภาพดีขึ้น9. ช่วยลดไขมันส่วนเกินของร่างกาย ไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ทั้งนี้ การอบสมุนไพรไม่สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่โรคและอาการ ที่เหมาะแก่การบำบัดรักษา ด้วยการอบสมุนไพร ได้แก่ โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด ในระยะอาการที่ไม่รุนแรง เป็นหวัด น้ำมูกไหล โรคที่ไม่ได้เป็นการเจ็บเฉพาะที่ หรือเป็นเฉพาะที่มีหลายตำแหน่ง เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรืออาการบางอย่าง เช่น ยอกหลัง โรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคเกาต์ ซึ่งโรคเหล่านี้ อาจจะต้องใช้การอบสมุนไพรร่วมกับการรักษาอื่นๆ ตามความเหมาะสม อย่างเช่น หัตเวชกรรม การนวด ประคบสมุนไพร การใช้ยาสมุนไพร เป็นต้น ข้อห้าม ข้อควรระวังในการอบสมุนไพร1. ขณะมีไข้สูง (มากกว่า 38 องศาเซลเซียส) เพราะอาจมีการติดเชื้อโรคต่าง ๆ2. เป็นโรคติดต่อร้ายแรงทุกชนิด3. มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคไต โรคหัวใจ โรคลมชัก โรคหอบหืดระยะรุนแรง โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่รุนแรง ในรายที่มีความดันโลหิตสูงเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท และต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท (ขึ้นกับตามดุลยพินิจของแพทย์ และควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด)4. ขณะมีประจำเดือนร่วมกับอาการมีไข้ และปวดศีรษะร่วมด้วย5. มีการอักเสบจากบาดแผลต่างๆ6. อ่อนเพลีย พักผ่อนไม่เพียงพอ หลังรับประทานอาหารไม่ถึง 30 นาที7. ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ระยะเวลาที่ใช้ในการอบสมุนไพร ก่อนทำการอบสมุนไพร ให้พรมน้ำบนร่างกายก่อน เพื่อปรับผิวหนังของเรา ให้พร้อมกับการอบสมุนไพร จากนั้นจึงทำการอบสมุนไพร โดยอุณหภูมิที่ใช้ในการอบประมาณ 40-60 องศาเซลเซียส ใช้เวลา ประมาณ 10-15 นาที/ครั้ง (อาจใช้เวลานานกว่านี้ได้ ไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยการอบต่อเนื่อง 15 นาที ออกมานั่งพัก แล้วทำการอบต่อเป็นเวลา15 นาที ประมาณ 4 ครั้ง) ในระหว่างนั่งพัก ควรดื่มน้ำเพื่อปรับร่างกายไม่ให้อยู่ในภาวะขาดน้ำ ควรเติมเกลือลงไปเล็กน้อย เพื่อป้องกันการขาดเกลือแร่ จากการเสียเหงื่อในปริมาณมาก หลังจากอบสมุนไพรเสร็จ ควรนั่งพักจนตัวแห้งก่อน ค่อยอาบน้ำ เพื่อชำระเหงื่อไคลอีกรอบ หากอบไอน้ำ 15-20 นาที เทียบเท่ากับการเดินเร็ว 1-2 ชั่วโมง เลยค่ะ ดังนั้นคนที่เป็นโรคหัวใจ จึงไม่ควรอบสมุนไพร เพราะทำให้หัวใจต้องทำงานหนักนั่นเอง การอบสมุนไพรนอกจากจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น สมุนไพรที่ใช้อบยังมีตัวยาที่ช่วยลดการอักเสบ แก้ปวด จึงช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดการปวดเมื่อย ลดอาการขัดข้อขัดเข่า นอกจากนี้ ยาอบสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม ใช้พืชที่มีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งถือว่าเป็นการบำบัดด้วยกลิ่นหรือ อโรมาเธอราปีส์ (Aromatherapy) อีกแบบหนึ่ง จึงช่วยให้จิตใจและกล้ามเนื้อผ่อนคลายหายเครียด และนอนหลับได้ง่ายขึ้น การอบสมุนไพร เป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลมาบริเวณผิวหนังมากขึ้น จึงทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใสนั่นเองอบสมุนไพร ทำได้บ่อยแค่ไหน การอบสมุนไพร ควรเว้นระยะ 3 วัน นับจากวันที่ทำการอบสมุนไพร จึงจะสามารถทำซ้ำได้ เพื่อป้องกันร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำเทคนิคในการอบสมุนไพรเพื่อให้คุณรู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่1. ควรอบสมุนไพร หลังรับประทานอาหารแล้ว อย่างน้อย 2 ชั่วโมง ถ้าอยู่ระหว่าง การอดอาหารไม่ควรอบสมุนไพร เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมากเกินไป 2. อย่าเร่งรีบในการทำ อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 1 ชั่วโมง เพราะหลังการอบแล้ว ควรให้ร่างกายได้พักผ่อนต่ออย่างน้อยครึ่งชั่วโมง 3. ถ้าป่วยไม่ควรอบสมุนไพร (ยกเว้นบางโรค สอบถามแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนไทยประยุกต์ก่อน เพื่อให้อยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด) 4. อย่าลืมถอดเครื่องประดับ5. ควรสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเวลาที่อบสมุนไพร ซึ่งที่เป็นที่นิยมในไทย จะเป็นการนุ่งกระโจมอก 6. เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการอย่าเช็ดเหงื่อออกในทันที ควรปล่อยให้ตัวแห้งเอง แล้วค่อยไปอาบน้ำ การอบสมุนไพรนั้น มีประโยชน์มากมาย นับเป็นการดูแลสุขภาพที่ดีอีกอย่างในยุคปัจจุบัน แต่การอบสมุนไพรในยุคที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 นั้น จำเป็นต้องเลือกแหล่งที่สะอาด และปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แหล่งอบที่ทำความสะอาดฆ่าเชื้ออยู่เรื่อยๆ เพื่อความปลอดภัยของทุกท่านนั่นเอง พท.ป. โชติมา เต็งตระกูลแพทย์แผนไทยประยุกต์บัณฑิต มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงรูปภาพโดยนักเขียนขอบคุณรูปภาพจาก freepik เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !