ใครที่อยากเปิดร้านขายของชำหรือโชห่วยที่เรารู้จักกันดี เพื่อเป็นธุรกิจส่วนตัว มีทุน มีทำเลที่เหมาะสมแล้ว ต้องเตรียมตัวทำอะไรอีกบ้าง จากประสบการณ์ที่ได้มาช่วยขายของบ้านภรรยาจึงขอเขียนถึงอีกด้านที่ลูกค้าอาจจะไม่เคยรู้เลยว่าต้องทำอะไรบ้าง เพราะเห็นแต่ภาพที่เจ้าของร้านนั่งสบาย คอยคิดเงิน ทอนเงินอย่างเดียวเท่านั้น มีอะไรกันบ้าง มาอ่านกันดู 1. คนขายของร้านชำ ต้องตื่นแต่เช้า เพื่อเปิดร้าน เติมของในตู้แช่ จัดร้าน ยกของให้เข้าที่เพื่อบริการความสะดวกให้ลูกค้า บางครั้งลูกค้าก็มาแต่เช้าตามความจำเป็น ผู้ค้าขายก็ต้องรีบเพื่อให้ทันลูกค้าเช่นกัน ตลอดจนการตรวจดูวันหมดอายุก่อนวางขายอีกด้วย 2. ตรวจสอบรายการของที่ต้องมาเติมในร้าน ซึ่งก็แน่นอนว่า เมื่อมีการซื้อ-ขายในร้านทุกวัน ของที่นำมาขายก็ต้องลดลงเป็นธรรมดา ผู้ค้าขายก็จำเป็นต้องเดินตรวจของในร้านที่หมดไปหรือลดลง เพื่อไปซื้อที่ตลาดหรือแหล่งขาย จะได้ทันกับของที่หมดไป อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และการเช็คของเพื่อเติมก็อาจจะใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงก็ได้ 3. ไปตลาดซื้อของเพื่อเติมของในร้าน บางพื้นที่ก็ไม่สะดวกในการเดินทางบ่อยๆ ยิ่งอยู่ไกลมากก็เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ ยิ่งฤดูฝนยิ่งอันตราย การให้ร้านขายปลีก-ส่งช่วยจัดและยกของไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่พอกลับมาถึงร้าน การยกของลงร้านเพื่อเติมนั้นต้องใช้เวลาในการจัดของในช่วงที่เวลาไม่มีลูกค้าหรือช่วงกลางคืนก็ได้ 4. ผู้ที่มีร้านค้า มักจะทานข้าวไม่เป็นเวลา เพราะบางทีถ้าอยู่แค่คนเดียว การทำอาหารไปด้วย ขายของไปด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากเป็นร้านค้าในชนบทก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าอยู่แถวเมือง มีลูกค้ามาก ก็อาจจะต้องใช้วิธีการสั่งซื้อมาแทน จะง่ายและรวดเร็วกว่า5. ความไม่สม่ำเสมอของลูกค้า เป็นเครื่องธรรมดาที่การค้าขายที่มีคนขายและคนซื้อ จะไม่รู้เวลากัน ลูกค้าก็อาจจะมาทีละคนบ้าง มาเป็นกลุ่มบ้าง หรือมาแบบต่อเนื่องกัน ผู้ค้าขายก็ต้องมีความอดทน เพราะถ้าลูกค้ามาก็เท่ากับนำเงินมาให้เรา หากเราปฏิเสธก็เท่ากับทำกำไรหรือรายได้หายไปด้วยเช่นกัน 6. ราคาของขึ้นลง ต้องทำตามตลาด อันนี้ก็ต้องติดตาม เมื่อปลายทางหรือที่ตลาดขึ้นราคาของขึ้นหรือลง เราก็ตามตลาด เช่น น้ำมันรถยนต์ น้ำมันรถจักรยานยนต์ ราคาหมู อาหารสดต่างๆ ก็ต้องแจ้งลูกค้าให้ทราบด้วย เพราะบางทีลูกค้าอาจจะคิดว่าเราจำราคาผิดจากเดิมที่เคยมาซื้อประจำ7. สิ่งที่คนมีร้านค้าต้องยอมอีกอย่าง ก็คือ ต้องไม่หยุดในวันหยุดของคนอื่น ไม่ได้หยุดตามคนอื่น เช่นช่วงเทศกาลต่างๆ มีคนเดินทางเยอะ เลยยิ่งขายของดี ทำให้ร้านหยุดไม่ได้ เพราะเป็นช่วงทำกำไรนั่นเอง ถ้าเราหยุดขณะที่คนอื่นเที่ยวซื้อของ เราก็จะไม่ได้ลูกค้าที่มาจับจ่ายอย่างแน่นอน8. ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง คงเคยได้ยินหรือเห็นคำว่า "งดเชื่อเบื่อทวง" หรือ "ห้ามเซ็น จ่ายสดเท่านั้น" มาบ้าง เพราะการค้าขาย มักจะมีการมาขอเอาของก่อนแล้วค่อยจ่าย ซึ่งบางคนก็เชื่อใจได้ บางคนก็ไม่ยอมจ่ายและหายไปเลยก็มี ผู้ที่เปิดร้านก็ต้องเตรียมใจไว้เหมือนกัน 9. กำไรคือที่ใช้กิน ส่วนใครที่เปิดร้านหวังกำไร ส่วนหนึ่งก็ต้องทำใจในระยะแรกๆ ว่ากำไรของเราก็คือส่วนที่เรานำมาหยิบใช้ในครัวเรือนหรือให้ลูกหลานหยิบกินหยิบใช้ ส่วนจะหวังกำไรเป็นกอบเป็นกำก็ต้องเป็นในช่วงระยะยาว เมื่อธุรกิจค้าขายของเราอยู่ตัวแล้ว ไม่ใช่ตั้งแต่แรกเริ่มเลย ดังนั้นใครหวังจะค้าขายก็ต้องแลกกับความสบาย ตื่นแต่เช้า ปิดร้าน 2-3 ทุ่มหรือแล้วแต่เจ้าของร้าน ถ้าดึกมากก็ได้พักผ่อนและทำอย่างอื่นน้อยลงไปด้วย ดังนั้น ถ้าอยากมีร้านก็ต้องเตรียมตัว เตรียมใจไว้ให้พร้อมอยู่เสมอ และที่สำคัญที่สุดก็คือความซื่อสัตย์จริงใจที่ต้องมีให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้าอยากมาซื้อหรืออุดหนุนที่ร้านตนเอง หากทำได้ธุรกิจค้าขายด้วยการเปิดร้านก็ต้องรุ่งเรืองและได้กำไรอย่างแน่นอนทุกภาพประกอบ โดยผู้เขียน ขอบคุณ Canva ตกแต่งปกบทความอัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !