อยากเป็นนักเขียนง่ายนิดเดียว…ในยุคสมัยใหม่ที่งานเขียนไม่ได้เป็นงานที่แย่แบบที่ทุกคนคิด จึงมีนักอ่านหลายคนผันตัวมาเป็นนักเขียน จริงๆ งานเขียนเป็นงานอิสระและเปิดกว้าง มันเป็นการส่งต่อเรื่องราว และบอกเล่าเหตุการณ์ที่เราได้พบเจอมา ซึ่งแน่นอนว่า คนทุกคนบนโลกนี้ สามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ และบางคนก็กำลังทำแบบนั้นอยู่ แต่ก็จะมีอีกหลายคนที่ยังไม่กล้าและกลัว วันนี้เราจะมาบอกเล่าหนทางสู่การเป็นนักเขียน ทำเลย ไม่ต้องรอการเป็นนักเขียนไม่ได้ยากมันก็แค่ต้องลงมือทำ เพราะการที่เรามีคำถามในหัวอยู่แล้วว่าเป็นนักเขียนต้องทำยังไง แสดงว่าอย่างน้อยๆ คนที่ตั้งคำถามเหล่านี้ในหัวก็ต้องมีอะไรที่คิดว่าตัวเองอยากเขียนหรืออยากบอกเล่า แต่ด้วยเหตุผลหรือความกลัวอะไรสักอย่างทำให้ไม่กล้าที่จะลงมือทำ ซึ่งคำตอบง่ายๆ คือ ทำเลย ลงมือทำ ถ้าเรามีอะไรที่อยากเขียนก็ลองเขียนลงไปในสื่อต่างๆ หรือแม้กระทั่งสมุดบันทึก แต่ถ้าให้ดีก็แนะนำให้ทำลงในสื่อต่างๆ ที่ให้ผู้คนได้อ่านเรื่องราวที่คุณเขียน เชื่อไหมค่ะว่าจะมีคำแนะนำและคำติชมที่จะทำให้คุณพัฒนาตัวเองได้อยู่ในนั้นและที่เยี่ยมยอดไปกว่านั้น คือ การทำเลยจะขจัดความกลัวต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากความรู้ที่เรามี อันนี้เป็นเรื่องจริง ซึ่งเกิดกับหลายๆ คนที่ออกไปหาวิธีการทำมากมาย สุดท้ายแล้วพบว่ามันยากแล้วเราก็ไม่ทำ ดังนั้น อยากเป็นนักเขียนง่ายมากๆ แค่ ลงมือทำ การอ่าน คือ การเก็บประสบการณ์งานเขียนมันเป็นงานที่พิเศษตรงที่ว่าคุณสามารถเก็บประสบการณ์ได้จากทุกที่ ทุกที่ที่มีตัวอักษร คือ ประสบการณ์ เพราะในทุกตัวอักษรที่เราเห็นจะมีเรื่องเล่ามากมายอยู่ในนั้นเสมอ ดังนั้น อ่านให้เยอะ การอ่านจะช่วยให้เรามีคำศัพท์ในสมองมากขึ้น ทั้งคำที่เราเคยเจอและไม่เคยเจอ รวมถึงวิธีการใช้คำและการผสมคำก็อยู่ในหนังสือทุกเล่มที่เราเจอเช่นกัน และแหล่งที่เรียนรู้ที่ดีเยี่ยมก็คือ หนังสือ และบทความ นั่นเอง เพราะมันเป็นคลังคำศัพท์ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือบทความในเรื่องราวที่เราสนใจหรือในหมวดอื่นๆ ทุกที่ที่มีตัวหนังสือ ที่นั่นคือที่ที่บ่มเพาะเรา ถ้าเราอ่านเยอะแล้วรู้สึกเหมือนไม่มีประโยชน์และไม่ได้ใช้อะไร ให้กลับไปทำในข้อแรก แล้วจะรู้ว่า แค่เรายังไม่ได้ลงมือทำไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เราอ่านมาจะช่วยอะไรไม่ได้ เหมือนนักมวยชกกับกระสอบทราย ซ้อมหลบกับครูที่ไม่ได้ตั้งใจชกเราทุกวัน แต่พอชกจริงยังไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้จะออกหมัดไหน แต่การที่เราฝึกทุกวันจะทำให้วันที่เราต่อสู้จริง ทุกๆ สิ่งที่ฝึกมามันจะถูกนำมาใช้เอง ดังนั้นการที่คุณเอาแต่ศึกษามันแล้วคิดว่ามันช่วยอะไรไม่ได้ แท้จริงแล้ว คุณแค่ลืมข้อแรกไปแค่นั้นเองเราจะไม่สามารถทำงานเขียนอะไรออกมาได้เลย ถ้าเราขาดความกล้าที่จะลงมือทำ และน้อมรับการเรียนรู้ ระหว่างลงมือทำมันเรียนรู้กันได้และแน่นอนว่ามันย่อมเข้าใจดียิ่งกว่าเราไม่ได้ลงมือทำอย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยเราพกปัญหาที่เจอและความความผิดพลาด ไว้ในกระเป๋าอีกเพียบ แต่สิ่งเดียวที่เราไม่มีอีกต่อไปแล้ว คือ ความกลัว ถ้าเข้าใจกฎ 2 ข้อข้างบนแล้ว ทีนี้ส่วนที่สำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้เลยคือ ตัวเราเอง ต่อให้เราต้องการทำงานเขียนมากแค่ไหน แต่ถ้า ตัวเราเอง ยังตอบคำถามในเรื่องดังต่อไปนี้ไม่ได้ มันก็ทำให้คนที่อยากเป็นนักเขียนหลายคนถึงกับท้อ หมดกำลังใจ และถึงทางตันได้เช่นกันคุณชอบเขียนแนวไหน (เสริมสร้างพลัง)แม้อันนี้จะฟังดูไม่น่าจะทำให้เราเขียนงานเขียนได้ แต่มันจะทำให้คุณเขียนงานสำเร็จ (เสร็จ) นั่นเอง คนที่อยากเป็นนักเขียนทุกคนต้องรู้ว่าเราชอบเขียนงานแบบไหนออกมา แม้ว่าสุดท้ายแล้วนักเขียนโดยส่วนใหญ่จะสามารถเขียนได้หลายแนว แต่มันจะมีแนวที่คุณถนัดที่สุดและทำได้รวดเร็วที่สุดอยู่เพียงแค่หนึ่งแนวเท่านั้น จริงๆ เราสามารถสังเกตได้ง่ายจากนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ เช่นนักเขียนชื่อดังอย่าง เจ.เค. โรว์ลิง ผู้โด่งดังจากนิยายแฮรี่พอตเตอร์ เธอมีงานเขียนแฮรี่พอตเตอร์เป็นภาคต่อเนื่องถึง 7 เล่ม มีงานนิยายแฟนตาซีอื่นๆ อีก 3 เล่ม แนวสืบสวนอย่างเรื่อง โรเบิร์ต กอล์บเบรด อีก 4 เล่ม และงานเขียนแนวสร้างกำลังใจอีก 2 เล่มนักเขียนไทยชื่อดังอย่าง ขุนเขา สินธุเสน เขจร ผู้โด่งดังจากงานเขียนแนวจิตวิทยา เขามีงานเขียนแนวจิตวิทยาถึง 11 เล่ม และมีงานเขียนแนววรรณกรรมเยาวชนอีก 1 เล่มตอนนี้ทุกคนเห็นอะไรหรือยัง จำนวนตัวเลขที่เกิดขึ้นจากผลงานที่เขาทำนั่นแหละคือ แนวการเขียน เรื่องนี้คือ เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับคนที่อยากเป็นนักเขียนต้องรู้ เพราะถ้าคุณไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ ปัญหาที่ตามมาคือ คุณจะเขียนงานไม่เสร็จ พอเขียนงานไม่เสร็จคุณจะท้อ แล้วหลังจากนั้น คุณก็จะคิดว่าคุณเป็นนักเขียนไม่ได้หรอก แล้วคุณก็จะล้มเลิกความตั้งใจเขียนที่ไหน (เสริมสร้างสมาธิ)นักเขียนเบสเซลเลอร์อย่าง เจอร์รี่ เจนสกิน เคยกล่าวไว้ว่า นักเขียนที่ดีควรจะเขียนงานได้ทุกที่ ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องจริงที่เถียงกันไม่ได้ แต่ไม่ใช่นักเขียนหน้าใหม่ทุกคนจะเขียนงานได้ทุกที่ ดังนั้น เราต้องหาพื้นที่ที่เหมาะสมกับเรา สถานที่ที่ทำให้เรารู้สึกมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานได้ยาวนาน งานเขียนไม่ใช่งานที่ใช้เวลาแค่ 1 หรือ 2 ชั่วโมงเสร็จ บทความใช้เวลาอย่างต่ำ 2 หรือ 3 ชั่วโมง หนังสือแล้วแต่ประเภทและการบอกเล่าของเราแต่อย่างต่ำเขียนไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน กว่าจะได้หนึ่งเล่ม อาจจะใช้เวลาหลายเดือนหรือปี ซึ่งมันเป็นระยะเวลาที่ต้องใช้ความต่อเนื่องในการคิดผลงานออกมา ดังนั้น สถานที่ที่เสริมสร้างสมาธิสำคัญมากคุณชอบเขียนเวลาไหน (เสริมสร้างสมาธิ)สำหรับข้อนี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้ข้อก่อนหน้านี้เช่นกัน การที่คุณต้องจดจ่อกับอะไรสักอย่างเป็นระยะเวลานานมันเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เราต้องหาให้ได้ว่าเวลาไหนที่เราจะสามารถคิดงานออกมาได้อย่างรวดเร็ว สมองลื่นไหลราวกับน้ำตก เช่น ตัวอักษรสีน้ำเงิน จะใช้ระยะเวลาในการเขียนช่วงกลางคืน เพราะมันเงียบและทำให้เรามีสมาธิคิดงานได้นาน แต่ในขณะที่นักเขียนบางคนอาจจะชอบสถานที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน ซึ่งคำตอบในข้อนี้ก็เช่นกันมีแค่ตัวเราเองที่สามารถบอกได้ว่าเรามีสมาธิได้ยาวนานที่สุดเวลาไหนเพราะอะไรการที่เราหาคำตอบทั้ง 3 ข้อให้กับ ตัวเราเอง ได้มันจะทำให้งานเขียนและเส้นทางสู่การเป็นนักเขียนเป็นเรื่องที่ง่ายมากยิ่งขึ้นสุดท้ายแล้ว ก้าวแรกของการเป็นนักเขียนที่ต้องทำคือ การลงมือทำมันออกมาเท่านั้นเอง (คนเดียวที่จะทำให้คุณเป็นหรือไม่เป็นอะไรก็ได้ คือตัวคุณเอง) เรียบเรียงเนื้อหาโดย : ตัวอักษรสีน้ำเงิน เพื่อนๆ สามารถเข้ามาเรียนรู้งานเขียนและพูดคุยกันได้ที่ Facebook : BlueLetterStudioขอบคุณภาพถ่ายที่ 1 pixabay ขอบคุณภาพถ่ายที่ 2 pixabayขอบคุณภาพถ่ายที่ 3 pixabayขอบคุณภาพถ่ายที่ 4 pixabayขอบคุณภาพปก pixabay