อยากเลี้ยงปลาน้ำจืด ต้องเริ่มยังไง ?ช่วงหยุดอยู่บ้านจากวิกฤติโควิด-19 นี้ หลายคนมองหางานอดิเรกทำ หนึ่งในนั้น คือ การเลี้ยงปลาน้ำจืด เพราะนอกจากจะได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์แล้วยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและยังเป็นการเพิ่มรายได้อีกด้วย ถ้ากินไม่หมดก็ขายได้ เพราะวิกฤติครั้งนี้ก็สอนให้เราเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด และใช้ชีวิตโดยไม่ประมาทเรื่องการเงิน แต่คำถาม คือ จะเลี้ยงปลาอะไร ให้อาหารแบบไหน ดูแลอย่างไร ต้องเตรียมอะไรบ้าง คงเป็นเรื่องปวดหัวไม่น้อย เราเลยขอสรุปรายละเอียดมาให้เข้าใจง่าย ๆ กันค่ะ1. สำรวจความพร้อมของบ่อปลาที่เรามี เพื่อที่เราจะได้ใช้สิ่งที่มีโดยลงทุนเพิ่มน้อยที่สุด ซึ่งบ่อที่ใช้เลี้ยงปลาโดยทั่วไป ได้แก่บ่อดิน เป็นบ่อที่สามารถเลี้ยงปลาได้ทุกชนิดแต่อัตราการปล่อยปลาขึ้นอยู่กับชนิดของปลาและขนาดของบ่อ ถ้าบ่อขนาดเล็กไม่กี่ตารางเมตรก็เลี้ยงได้เฉพาะปลาที่ไม่ต้องใช้ออกซิเจนในน้ำหายใจ จะขึ้นมาฮุบอากาศเหนือน้ำ เช่น ปลาดุก ปลาหมอ ปลาช่อน ปลาสลิด ฯลฯ ถ้าบ่อมีขนาดใหญ่ปานกลาง เช่น 1 งานขึ้นไป ก็สามารถเลี้ยงปลาประเภทที่ใช้ออกซิเจนในการหายใจ เช่น ปลานิล/ทับทิม ปลากดเหลือง ปลาไน ปลาชะโอน ปลาตะเพียน ฯลฯ แต่ความหนาแน่นก็ขึ้นอยู่กับสภาพบ่อบ่อดินบ่อปูน/ ท่อซีเมนต์ มักจะไม่ใหญ่มาก เหมาะกับการเลี้ยงปลาที่ไม่ต้องใช้ออกซิเจน แต่ถ้ามีการเดินระบบอากาศให้ก็สามารถเลี้ยงปลาที่ต้องใช้ออกซิเจนได้แต่ไม่นิยมเลี้ยงปลาน้ำจืดเพราะเป็นการเพิ่มต้นทุนค่าไฟซึ่งไม่คุ้มทุน จะใช้เลี้ยงปลาสวยงาม เช่น ปลาคาร์ฟ ปลาทอง มากกว่าเพราะมีราคาสูง ปลาน้ำจืดที่เลี้ยงกันส่วนใหญ่ คือ ปลาดุก ปลาหมอ เพราะเลี้ยงง่าย ส่วนท่อซีเมนต์กลม ๆ ส่วนใหญ่จะมีขนาด 0.8 - 1 ตารางเมตร ซึ่งเหมาะจะเลี้ยงแค่ปลาดุก ปลาหมอ ประมาณ 80-100 ตัวบ่อปูนท่อซีเมนต์บ่อผ้าใบ/บ่อพลาสติก โดยส่วนใหญ่จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก ใช้แทนบ่อปูนเพราะต้นทุนการทำบ่อน้อยกว่าบ่อปูนมาก หลักการเลี้ยงเหมือนกับบ่อปูนกระชัง ใช้การปักหรือแขวนกระชังลอยในบ่อขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถสูบน้ำออกหมดได้ หรือเลี้ยงในแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น คลอง แม่น้ำ โดยเฉพาะแหล่งที่มีน้ำไหลผ่านเพราะมีออกซิเจนในน้ำสูง จะนิยมเลี้ยงปลานิล ปลาทับทิม ปลากดเหลือง เพราะใช้ความได้เปรียบของแหล่งน้ำ แต่มีข้อเสีย คือ ควบคุมสภาพน้ำไม่ได้ ถ้าเป็นบ่อที่น้ำนิ่งถึงแม้จะกว้างแต่เมื่อปลามารวมกันที่เดียวก็จะขาดอากาศเหมือนกัน ความหนาแน่นต้องน้อยกว่าน้ำไหลผ่านกระชังแบบปักกระชังแบบแขวน2. ศึกษารายละเอียดของปลาที่เราสนใจ ดูว่ามีกี่สายพันธุ์ ต้องการการดูแลมากน้อยแค่ไหน ชอบสภาพแวดล้อมอย่างไร ถ้าเลี้ยงเพื่อขายก็ต้องศึกษาความต้องการของตลาดด้วย ระยะเวลาเลี้ยงนานเท่าไหร่ ต้นทุนการเลี้ยงประมาณมากน้อยแค่ไหน ฯลฯ ขอยกตัวอย่างปลาที่นิยมเลี้ยงกันดังนี้ปลาดุก นิยมเลี้ยงกัน 2 สายพันธุ์เพราะเลี้ยงง่าย เลี้ยงได้กับบ่อทุกประเภท คือ ปลาดุกบิ๊กอุย ซึ่งเป็นพันธุ์ผสมกันระหว่างปลาดุกอุยกับดุกรัสเซีย รูปร่างจะคล้ายปลาดุกอุยซึ่งหลายคนเข้าใจว่ามันคือตัวเดียวกัน เลี้ยงง่าย ใช้เวลา 3-4 เดือน เป็นที่นิยมของตลาด ส่วนอีกชนิด คือ ปลาดุกรัสเซียหรือดุกยักษ์ โตไว ทนโรค เลี้ยงแค่ 2-3 เดือน แต่ราคาขายจะถูกกว่าปลาดุกบิ๊กอุย ส่วนปลาดุกอุย มีหลายชื่อ เช่น ดุกบ้าน ดุกนา ดุกเนื้ออ่อน รสชาติดี ราคาสูง แต่เลี้ยงยากกว่า ไม่เหมาะจะเลี้ยงในบ่อปูน หาซื้อลูกพันธุ์ยาก เลยไม่ค่อยมีคนเลี้ยงลูกพันธุ์ปลาดุกปลานิล/ปลาทับทิม ปลาทับทิมเป็นการคัดสายพันธุ์มาจากปลานิล บางคนเลยเรียก นิลดำ/นิลแดง การเลี้ยงเลยเหมือนกันแต่ปลาทับทิมเลี้ยงยากว่าเพราะทนทานต่อโรคน้อยกว่า ปลาที่ขายตามฟาร์มทั่วไปจะเป็นปลาแปลงเพศ เพราะปลานิลเพศผู้จะตัวใหญ่กว่า อีกทั้งตัวเมียเมื่อออกลูกตัวจะไม่ค่อยใหญ่ขึ้น ผู้ผลิตเลยให้กินอาหารผสมฮอร์โมนเพื่อแปลงเป็นเพศผู้ ซึ่งทำให้ปลาที่เลี้ยงจะไม่ออกลูก แต่อาจมีตัวเมียอยู่บ้างแต่ไม่เกิน 10% บางคนเลยเรียกว่าปลานิลหมัน ใช้ระยะเวลาเลี้ยง 4-6 เดือน ต้องเลี้ยงในบ่อที่มีออกซิเจนสูงลูกพันธุ์ปลานิลปลาหมอ ส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ชุมพร ลูกพันธุ์ปลาหมอที่ขายส่วนใหญ่จะเป็นหมอแปลงเพศเหมือนกัน แต่จะให้กินฮอร์โมนเพื่อแปลงเป็นเพศเมีย เพราะตัวเมียจะใหญ่กว่าตัวผู้อีกทั้งผู้บริโภคยังนิยมปลาที่มีไข่ ใช้เวลาเลี้ยง 4-6 เดือน เลี้ยงได้กับบ่อทุกประเภท แต่นิสัยของปลาหมอ คือ เวลาฝนตกปลาจะกระโดดขึ้นจากบ่อซึ่งควรกั้นตาข่ายไว้รอบบ่อลูกพันธุ์ปลาหมอ3. สำรวจความพร้อมของตัวเอง ดูว่าเราอยากเลี้ยงปลาอะไร มีเวลาดูแลแค่ไหน ความพร้อมของเงินทุนเป็นอย่างไร เช่น ถ้าเรามีร่องน้ำในสวนปาล์มและอยากใช้ประโยชน์จากมันแต่ไม่มีเวลาดูแล ไม่ได้ไปให้อาหาร อาจจะปล่อยปลากินพืชในปริมาณน้อย ๆ ให้กินสารอินทรีย์ในน้ำ เช่น ปลาสลิด ปลาหมอตาล ปลานิล แต่ถ้าตั้งใจเลี้ยงจริงจังและมีเวลาดูแลเต็มที่ก็อาจจะเลี้ยงปลาดุกแทน ถ้ามีพื้นที่น้อย ๆ อาจจะเลี้ยงในท่อซีเมนต์4. การเตรียมบ่อบ่อดิน ควรตากบ่อให้แห้ง 1-2 วันแล้วหว่านปูนขาวเพื่อปรับสภาพดินและกำจัดสัตว์ต่าง ๆ ที่หลงเหลือในบ่อแล้วตากบ่อไว้ 1-2 วันจึงเติมน้ำบ่อปูน/ท่อซีเมนต์ ถ้าเป็นบ่อใหม่ต้องแช่น้ำไว้อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เคล็ดลับให้ปลาแข็งแรง คือ ถ้าเป็นปลาดุก ปลาหมอ ให้ใส่ดินไปด้วย เป็นดินเหนียวหรือดินจอมปลวกได้จะดีเพราะไม่มีสารเคมีปะปนในดิน จะช่วยให้มีสภาพแวดล้อมคล้ายบ่อธรรมชาติและแร่ธาตุในดินช่วยให้ปลาแข็งแรงไม่ค่อยเป็นโรค และควรเติมเกลือแกงไปด้วยเล็กน้อยบ่อผ้าใบ/บ่อพลาสติก สามารถเติมน้ำเลี้ยงได้ทันทีหรือแช่น้ำไว้สัก 1 สัปดาห์ก่อนก็ได้ หลักการเดียวกับบ่อปูน กระชัง ถ้าเป็นกระชังใหม่ควรปักหรือแขวนกระชังไว้ก่อนปล่อยลูกปลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ให้ตะไคร่เกาะ ถ้ากระชังใหม่จะทำให้ปลาดุกเป็นโรคหนวดเปื่อย ปลาหมอก็หัวเปื่อย แต่ปลาบางชนิดอาจปล่อยได้เลย เเต่เพื่อความปลอดภัยควรแช่น้ำไว้ก่อน5. อัตราการปล่อย ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของบ่อ เช่น ถ้าน้ำนิ่งปล่อยปลาได้เท่านี้ตัวแต่ถ้าเลี้ยงแหล่งน้ำไหลผ่านก็เพิ่มจำนวนได้อีก โดยทั่วไปปลาดุก, หมอ, ช่อน อัตราปล่อยที่ 80-100 ตัวต่อตารางเมตร ถ้าปลานิล ปลาทับทิม ปล่อยที่ 30 ตัวต่อตารางเมตร ยิ่งปลาที่ต้องการออกซิเจนสูงยิ่งมีอัตราการปล่อยต่ำ วิธีสังเกต ถ้าปลามีอาการลอยหัวขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ แปลว่า แน่นเกินไป ต้องย้ายออกบางส่วนหรือเพิ่มออกซิเจนโดยการเติมน้ำหรือตีอากาศ6. อาหาร โดยทั่วไปจะให้อาหารปลาดุกกับปลาทุกชนิดปลากินเนื้อ เช่น ปลาดุก ปลาหมอ ปลาชะโอน ปลาช่อน ปลากดเหลือง เป็นปลาที่ต้องการอาหารที่มีโปรตีนสูง ในช่วงแรกต้องให้อาหารที่มีโปรตีนสูง ยิ่งสูงปลายิ่งแข็งแรง โตไว จากนั้นจึงค่อยลดปริมาณโปรตีนลง โดยดูจากเปอร์เซ็นต์โปรตีนที่ระบุไว้ที่ถุงหรือกระสอบอาหาร ถ้าให้อาหารกบได้ก็ยิ่งดีเพราะมีโปรตีนสูงกว่าแต่ราคาก็จะแพงขึ้นด้วย โดยเฉพาะปลาชะโอน ปลาช่อน ปลาหมอ ควรให้อาหารโปรตีนสูง ลูกพันธุ์ปลาที่เราซื้อตามฟาร์มทั่วไปจะมีอายุประมาณ 30-45 วัน เราสามารถให้อาหารปลาดุกเล็กหรือกบเล็กได้ หรือให้อาหารลูกอ็อดก่อนสัก 1-2 สัปดาห์ได้ก็ดี จากนั้นก็ให้อาหารปลาดุกเล็ก โปรตีนอย่างน้อย 30% ราคาประมาณ 500 บาทขึ้นไป (20 ก.ก.) ถ้าอาหารปลาดุกที่แบ่งขายหรือราคากระสอบละ 300-400 บาท จะมีโปรตีนแค่ 25% ปลาจะโตช้า เราสามารถลดต้นทุนได้โดยให้อาหารพวกเนื้อปลา เนื้อไก่บด แต่ต้องระวังเรื่องน้ำเสียปลากินพืช เช่น ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาสลิด มีอาหารสำหรับปลากินพืชโดยเฉพาะและสามารถให้อาหารลดต้นทุนพวกพืชหญ้าต่าง ๆ ได้ แต่ถ้าเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ ควรให้อาหารปลาดุกที่มีโปรตีนสูงเช่นกันเพราะปลาจะโตไว คุ้มทุน วิธีการให้อาหาร วันแรกที่ปล่อยยังไม่ต้องให้อาหาร เริ่มให้ในวันถัดไป ให้อาหารอย่างน้อยเช้าเย็น ถ้าให้หลายรอบได้จะดีเพราะปลากินได้ทีละไม่เยอะ โดยเริ่มจากการหว่านอาหารในปริมาณน้อย ๆ จนมีอาหารเริ่มลอยแปลว่าปลาอิ่มแล้ว ให้หยุดแค่นั้น ถ้าให้ต่อไปปลากินไม่หมดจะทำให้น้ำเสีย มื้อต่อไปก็ปริมาณเท่าเดิมแล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ปลาที่ขาดอากาศง่าย เช่น ปลานิล ปลาทับทิม ควรให้อาหารตอนสาย ๆ ถึงตอนเย็น ถ้าเลย 5 โมงเย็นไปแล้วไม่ควรให้เพราะกลางคืนออกซิเจนในน้ำจะต่ำ เมื่อปลากินอิ่มจะขาดอากาศหายใจได้ 7. โรคของปลา ช่วงปล่อยปลาใหม่ ๆ อาจมีปลาตายบ้างเล็กน้อย เกิดจากความบอบช้ำจากการจับและการเดินทาง บางร้านจะใส่ยาเหลืองในถุงปลาไว้เพื่อป้องกันไว้ก่อน แต่ถ้าตายมาก ๆ มักเกิดจากการติดเชื้อ ต้องรักษาโดยการให้ยากิน แต่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ควรให้อาหารผสมยาในสามวันแรกของการให้อาหาร โดยใช้ยาแก้อักเสบ (Amoxy) 5 เม็ดต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ละลายยาในน้ำและนำมาคลุกอาหาร ถ้าเป็นปลากินพืช เช่น ปลานิล สองวันแรกยังไม่ต้องให้อาหาร ให้ปลากินตะไคร่น้ำที่เกาะกระชังหรือสารอินทรีย์ในน้ำกรณีบ่อดิน ค่อยให้ในวันที่สาม8. การดูแลอื่น ๆ กรณีปลายังเล็กอาจมีศัตรู คือ นก มากินลูกปลา บางนกแค่โฉบลงมากิน แต่นกบางชนิด เช่น นกกาน้ำ สามารถดำน้ำลงไปกินลูกปลาทีละเยอะ ๆ จึงควรป้องกันด้วยการขึงตาข่ายคลุมบ่อ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ พอจะได้แนวทางในการเตรียมเลี้ยงปลากันบ้างหรือยัง ตอนแรกอาจดูเหมือนยุ่งยาก แต่ถ้าเราได้ลองลงมือทำแล้วเราจะเริ่มเข้าใจไปทีละนิดและมันก็ไม่ได้มีอะไรยากเกินที่เราจะเรียนรู้ การศึกษาข้อมูลเยอะ ๆ จะช่วยให้เราย่นระยะเวลาการเรียนรู้ แต่สำคัญที่สุด คือ เราต้องลงมือทำ ถ้ามีปัญหาเพิ่มเติมปรึกษาเราได้ที่เพจ ปลาสวยนนทรีฟาร์ม ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ ภาพทั้งหมดโดย ผู้เขียน