Man’s search for meaningViktor E. Frankl จิตแพทย์ ได้เล่าประสบการณ์การเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ถึงสภาวะจิตใจของนักโทษ ผ่านประสบการณ์ และความรู้สึกของตัวเอง โดยแบ่งสภาวะทางจิตใจของคนที่ต้องเข้าไปอยู่ในค่ายเป็น 3 ช่วงช่วงแรกที่เข้าไปในค่าย นักโทษแทบทุกคนอยู่ในสภาวะตกใจกับสิ่งที่ต้องเจอ มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย เพราะตกใจ และรับไม่ได้กับสภาวะที่ตัวเองต้องถูกทรมานช่วงที่ผ่านการใช้ชีวิตในค่ายมาระยะหนึ่ง เป็นช่วงที่หมดอาลัยตายอยาก อารมณ์ตายด้าน ไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกแล้ว ขอแค่ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ สภาวะภายในจิตใต ค่อยๆถดถอยลงไปเรื่อยๆ แต่กลับเป็นช่วงที่สามารถมีความสุขกับอะไรได้ง่ายขึ้น เพราะจิตใจของแทบทุกคนในนั้น กลายเป็นว่างเปล่า อยู่ในค่ายไม่เหลืออะไรสำคัญอีกแล้ว นอกจากชีวิตตัวเอง ขอแค่ได้เศษขนมปัง มีอาหารกิน การได้อาบน้ำ หรือได้สูบบุหรี่ ก็เหมือนเป็นการต่อชีวิตไปได้อีกวัน ในช่วงที่มันแย่สุดๆ บางคนขอแค่มีความสุขอยู่ในความฝันก็พอ ได้ฝันกับเรื่องง่ายๆ ของอร่อย สิ่งที่อยากจะทำ หรือฝันถึงคนที่เรารักแค่นั้น สำหรับ Viktor E. Frankl ได้ยกตัวอย่างของตัวเองว่าสิ่งที่ทำให้เค้ารอด และมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ คือการได้คิดถึงภรรยา ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าภรรยายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ช่วงหลังจากถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระเป็นช่วงที่ต้องพบกับความขมขื่น และส่วนใหญ่จะต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าความหวังและความฝันทั้งหมดที่คิดมาตลอดตอนอยู่ในค่าย ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดหรือหวังไว้ เพราะเวลาตอนอยู่ข้างใน ทุกคนที่รอดมาได้ส่วนใหญ่ เกิดจากการมีความหวัง ให้มองไปข้างหน้า หวังว่าจะได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอกเหมือนเดิม ชีวิตข้างนอกมีอะไรรออยู่ แต่พอได้ออกมาจริงๆ ความหวังทั้งหมดพังทลาย เพราะสิ่งที่คิดไว้ทั้งหมด ไม่เป็นจริงเลย กลับพบแต่ความว่างเปล่าสิ่งที่ได้เรียนรู้ความเจ็บปวด ความทรมานใจก็เหมือนอากาศ ถ้าเราให้ที่อยู่มันมากแค่ไหนในใจเรา มันก็จะลอยจนเต็มพื้นที่นั้น ยิ่งเราให้ความสำคัญกับมันมากแค่ไหน มันก็จะยิ่งชัดมากในใจเราเราไม่ควรตัดสินใคร เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าคนคนนั้นเค้าต้องเจออะไรมาบ้าง ก่อนจะตัดสินใคร ให้ลองคิดก่อนเสมอว่าถ้าเป็นตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น เราจะทำแบบเค้ามั๊ย?ความกลัวเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ถ้าเราเอาแต่หนีความกลัว เราก็จะไม่มีทางได้ทำหรือเป็นในสิ่งที่เราอยากเป็นเรื่องบางเรื่อง เราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น ก็ต้องอยู่กับมันให้ได้เมื่อเรากล้าที่จะตัดสินใจเผชิญโชคชะตาด้วยตัวเราเอง เราจะรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยจิตใจตัวเองจากพันธนาการที่ขังตัวเองไว้ จะรู้สึกถึงอิสรภาพภายในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอิสรภาพทางจิตวิญญาณ เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเรามีความหมาย ไม่มีใครสามารถพรากมันไปจากเราได้การมีชีวิตอยู่ เราต้องรู้ว่าอยู่เพื่ออะไร ต้องมีเป้าหมาย เพราะถ้าไม่มีเป้าหมายแล้ว เราจะเหมือนคนไร้ตัวตน ชีวิตภายในหรือจิตวิญญาณจะเริ่มฝ่อลงเรื่อยๆ จนไม่รู้จะอยู่ต่อไปเพื่ออะไรเมื่อไหร่ที่จิตใจเรายอมแพ้ต่อความยาลำบากที่เกิดขึ้น เมื่อนั้นชีวิตก็หมดความหมายสิ่งที่จะทำให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้แม้ในสถานกาณ์ที่หดหู่มากที่สุด คือการดำเนินชีวิตอย่างมีความหวัง เปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง หยุดถามถึงความหมายของชีวิต แต่ต้องทำชีวิตให้มีความหมายแทน เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะคิดว่า ถ้าเรามีชีวิตอยู๋ต่อไปเราคาดหวังอะไรจากชีวิตเราได้บ้าง แต่ให้คิดว่าชีวิตของเราที่เกิดมาแล้วคาดหวังอะไรจากเราได้บ้าง เราจะทำอย่างไรให้มันมีความหวัง และความหมายขึ้นมาความหมายของชีวิต ไม่สามารถไปถามใครได้ ต้องค้นหาด้วยตัวเองคนเราจะทนต่อความเจ็บปวดได้ ถ้าความเจ็บปวดนั้นมันมีความหมายหรือมีคุณค่ากับเรามากพอในสถานการณ์เดียวกัน คนเราสามารถเลือกที่จะทำ หรือเลือกที่จะเป็นได้ ในด้านที่ดี และไม่ดี เราจะเลือกที่จะทำตัวน่าสงสาร หมดหวัง หรือแข็งแกร่งก็ได้ ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่สถาวะแวดล้อมหรือสถานการณ์สำหรับเรา สิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้ หลักๆมี 2 ข้อการได้ทำชีวิตให้มีความหมาย อาจจะแค่มีความหมายต่อคนที่เรารักหรือคนที่รักเรา แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เรามีพลัง และมีกำลังใจในการจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ว่าสถานการณ์ใด และการอยู่อย่างไร้ค่า ไร้ความหมาย ก็เหมือนตายทั้งเป็นความหวังสำคัญมาก เป็นพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ ที่จะทำให้เราสามารถก้าวเดินต่อไป ในทุกๆสถานการณ์ ถึงแม้บางอย่างจะดูริบหรี่ แต่ถ้าเรายังมีความหวัง เราจะยังมีแรงที่จะสู้ต่อไปคำคมที่ชอบHe who has a why to live for can bear almost any howThat which does not kill me, makes me stronger.Man must decide, for better or worse, what will be the monument of his existence.ใครอ่านแล้วมาแชร์กันได้ค่ะหนังสือเล่มเดียวกัน บางตอนอาจจะเข้าไปสะกิดอะไรในใจของเรา แต่อีกคนอาจจะได้ในอีกมุม เพราะเราต่างประสบการณ์ และเราต่างให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆ "ต่างกัน"Better Me "นี่แหละชีวิต"ขอขอบคุณที่มาภาพ: Cover: pixabay, Pic1: จากผู้เขียน, Pic2: pixabay, Pic3: pixabay, Pic4: pixabayถ้าชอบ ฝากกดไลค์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ :)ช่องทางติดตาม Better Me "นี่แหละชีวิต"Blockdit : https://www.blockdit.com/bettermejourneysFacebook : https://www.facebook.com/bettermejourneys/