ยินดีต้อนรับสาว ๆ ที่รัก วันนี้ฉันมีเรื่องจะมาบอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่สาว ๆ ไม่ควรถามใครก็ตาม สิ่งที่ไม่เหมาะสม ค่อนข้างที่จะหยาบคายที่จะบอกใครสักคน ฉันจะบอกพวกคำถามที่ฉันคิดว่าสำคัญที่สุดนะคะ เพื่อที่ทุกคน ๆ จะได้ไม่ทำให้ตัวเองขายหน้า จุดประสงค์ของบล็อกนี้ก็เพื่อที่จะสอนสาว ๆ เพื่อที่จะเป็นคนที่มีสง่าราศี และเตรียมตัวเองในการอัพเกรดตัวเองให้ดูดีขึ้น การที่จะถามอะไรใครสักคน เราคงจะมีการคุยกันโดยพื้นฐานอยู่แล้ว แล้วถ้าเราอยากที่จะลงลึกเข้าไปในความสัมพันธ์กับคนนั้น อาจจะอยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทกับเขา คุยให้ถูกคอกัน การรู้เขตแดนในการที่จะสนทนามีอยู่ ฉันคิดว่าไม่ว่าคนที่คุณรู้จักแล้ว หรือเพิ่งจะรู้จักก็สามารถนำเทคนิคนี้มาใช้ได้ เพื่อไม่ให้การสนทนาของเราหยุดชะงัก ฉันจึงได้เขียนบทความนี้เพื่อให้ทุกคนได้อ่าน และหลีกเลี่ยงการถามคำถามพวกนี้ โดยส่วนตัวก็มีบางคำถามที่โดนถามเหมือนกัน แล้วพูดตามตรงว่ามันอึดอัดมากเลยถ้าจะตอบ แล้วถ้าไม่ตอบก็ยิ่งอึดอัดเข้าไปใหญ่ ดังนั้นมาเริ่มกับสิ่งแย่ ๆ พวกนี้กันเลย ส่วนตัวฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคนเรา ไม่คิดถึงเรื่องที่ควรจะใส่ใจอย่างนี้ ส่วนตัวก็เคยถามคำถามพวกนี้ แต่สาว ๆ รู้ไหม เรามีชีวิตเพื่อที่จะเรียนรู้ไงหล่ะคะ ฉันบางครั้งเคยพูดในสิ่งที่แปลกมาก ๆ ต่อคู่สนทนาแล้วมีความเงียบที่น่าอึดอัดเกิดขึ้น และนั่นแหล่ะค่ะ วิธีที่คุณและฉันสามารถเรียนรู้ได้ แต่ตอนนี้ฉันก็ดีใจที่จะได้บอกทุก ๆ คนค่ะ1. คุณอายุเท่าไหร่ เท่าที่เคยเห็นคนพูดคุยกัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีอายุที่แตกต่างกัน เขามักจะเลี่ยงการตอบคำถามนี้ เพราะมันทำให้เขาไม่รู้สึกสบายใจ และจะทำให้คนในกลุ่มรู้สึกไม่เป็นกันเอง แบบว่าเราต้องเรียบร้อยในกลุ่มนี้ใช่ไหมอ่า รวมถึงไม่ควรที่จะถามไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เพราะว่าบางคนก็มีเหตุผลของเขา ที่จะไม่เปิดเผยอายุ เขาค่อนข้างที่จะ private กับหัวข้อนี้อยู่ แม้แต่ผู้ชาย เชื่อหรือไม่ว่า ผู้ชายหลายคนไม่อยากพูดเรื่องอายุ โดยผู้ชายรู้ไหมแบบว่าก็อ่อนไหวในเรื่องนี้ไม่เท่ากับผู้หญิง ขอเสริมว่าถ้าจะเป็นการถามเด็ก ๆ ก็ ok นะ แต่ก็มีลิมิตอยู่ ในเรื่องเด็กเท่าไหร่ ผู้ใหญ่เท่าไหร่ ก็ขอแนะนำว่า ถ้ามากกว่า 18 ปีก็ถือว่าผู้ใหญ่แล้วนะคะ แต่ก็เถอะ มันแล้วแต่คน ดังนั้นขอแนะนำว่าถ้าอยากให้ทุกคนคุยกันแซบ ก็เลี่ยงการถามคำถามนี้ดีกว่าค่ะ Gerd Altmann จาก Pixabay" />2. ตัวเองอ้วนขึ้นหรือป่าว หรือ ผอมจังเลยนะตัวเอง หรือ ผอมลงหรือป่าว อันนี้ค่อนข้างที่จะรุนแรงหน่อยนะ แบบว่าจะมีความรู้สึกแบบว่า What?พูดอะไรออกมา จะถามทำไม ใครอยากจะได้ยินว่าตัวเองดูอ้วน/ผอมเกินไป พูดตามตรงเลย ฉันเลยอยากจะถามคุณด้วยคำถามง่าย ๆ ว่า สิ่งนั้นจะทำให้คนอื่นรู้สึกดีไหมกับคำถามนั้น ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงไม่สามารถคิดถึงเรื่องพวกนี้ ว่าคำถามแบบนี้ จะทำให้ตัวผู้ถามเองรู้สึกยังไง บางทีบางคนเขาไม่มีความสามารถ หรือมองไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายภาคหน้า นี่มันเป็นเรื่องที่เกินไป ที่จะถามใครสักคน ส่วนตัวคิดว่ามันทำให้ผู้ฟังดูตะกละ ไม่ก็คลั่งผอม แบบมีปัญหาทางการกิน อะไรพวกนี้ โดยส่วนตัวก็เคยถูกถามคำถามทำนองนี้อยู่แล้ว ฉันเคยได้ยินคนอื่นถูกถามคำถามนี้ ทำให้อยากจะตะโกนออกไปว่า หยาบคายสุด ๆ เพราะว่าไม่มีใครอยากที่จะได้ยิน เว้นแต่คนที่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก หรือลดความอ้วน แต่ว่าพวกเราส่วนมากก็ไม่ได้ชอบถามว่าอ้วนไหม/ผอมไปหรือเปล่าอยู่แล้ว บางคนก็บอกว่าดูมีเนื้อมีหนังมากกว่าแต่ก่อน มันทำให้เราคิดว่าโอเคจะทำยังไงให้ดูดีตลอดเวลา มันรู้สึกไม่ดีเลย ฉะนั้นแนะนำให้หยุดถามเถอะค่ะ3. คุณท้องหรือป่าว อะไรนะ? ถ้าไม่ท้องก็… แบบว่าจะถามทำไม ถ้าท้อง คน ๆ นั้นเขาก็จะบอกเองแหละ ใช่มะ เรามาทำความเข้าใจให้กระจ่างก่อนเลย ฉันเข้าใจว่าผู้หญิงบางคนแบบว่าท้องอยู่แล้ว และฉันก็เชื่อว่าการตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่สวยงาม ตัวคุณเองก็ชอบใช่ไหม แต่อย่างอื่นก่อนเลย ถ้าคนนั้นไม่ได้ท้อง แต่คน ๆ นั้นแค่มีน้ำหนักเกินหล่ะ คุณจะจัดการกับสถานการณ์อึดอัดนั้นยังไง แล้วคุณจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกยังไง แบบว่ามันเหมือนกับว่า อีกทางที่จะถามว่า คุณอ้วนขึ้นหรือป่าว แล้วถ้าคน ๆ นั้นมีน้ำหนักที่มากจนดูเหมือนว่าท้อง แบบว่าไม่มีใครที่อยากจะได้ยินคำนั้นหรอก อย่างที่ว่านั่นล่ะในข้อ 2 แต่ก็เขาอาจจะท้อง แต่ถ้าเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นล่ะ ไม่รู้สิ บางคนก็เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติว่าไม่ควรเล่าให้ใครฟัง หรือคนที่ไม่อยากพูดเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ กับคนที่เขาไม่รู้จักดีพอ ไม่รู้สิ ทุกคนก็มีความแตกต่าง เพราะเหตุผลนั้นนั่นแหละ คุณควรที่จะให้เขาพูดถึงเรื่องนั้นด้วยตัวเขาเอง ถ้าเขาอยากจะพูดถึงจริง ๆ ตัวฉันเองก็เพิ่งเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าท้องได้ 8 เดือนแล้ว แต่ฉันก็ไม่ถามว่าเธอท้องหรือป่าว เพราะว่ามันเป็นเรื่องของเธอ หรือแฟนของเธอนั้นที่จะพูดถึง เราจึงไม่สามารถพูดได้ และไม่ใช่เราที่จะเป็นผู้เริ่มบทสนทนาถามคำถามนั้นว่า ชายหรือหญิง อย่างงี้หรืออย่างงั้น ไม่! อย่าไปถามเลยค่ะ เรื่องแบบนี้สามารถเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต่อคนบางกลุ่ม ทำไมถึงมาถามอะไรแบบนี้ด้วย4. แต่งงานหรือยัง/ทำไมยังโสด/จะมีลูกตอนไหนหรอ … โอ...เค… คำถามพวกนี้จะทำให้คุณดู...แบบว่า...ไม่ได้ว่านะ แบบไม่มีการศึกษาทันที ฉันเองไม่สามารถที่จะยืนฟังคำถามนี้ได้เลย ตอนที่ฉันโสด ฉันก็ได้ถูกถามแบบนี้ตลอดเลย “ทำไมถึงโสด” ตอนที่ฉันมีสามีก็ถามว่า “จะมีลูกตอนไหน” หรือ “จะแต่งงานตอนไหน” ทำไมคนถึงคิดว่าคำถามพวกนี้เป็นสิ่งที่ปกติหรือคำถามที่เหมาะสม และก็เป็นสิ่งที่ปกติมาก ๆ เลย ไม่ว่าจะมาจากคนที่ไม่รู้จักดี หรือตัวต่อตัว หรือครอบครัว หรือเพื่อน เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ถามได้ คนก็ถาม ๆ ๆ คำถามพวกนี้ ฉันคิดว่าไม่ดีเลย ฉันรู้ค่ะว่าทุกคนที่อ่านอยู่รู้ว่าฉันหมายถึงอะไร เพราะว่านี่คือสิ่งที่พิลึกมากที่คนจะพูดออกมา เราทุกคนมีความอยากที่จะเข้าถึง ใกล้ชิดข้อมูลภายในของใครสักคน แบบว่าถ้าฉันโสดมานานมาก แล้วถ้าเหตุผลของฉันคือปัญหาทางที่ค่อนข้างจะส่วนตัว บางทีอาจจะเป็นในทางจิตใจของฉัน ที่ฉันไม่สามารถไว้ใจผู้ชายได้ล่ะ แล้วก็ทำให้ตอนนี้เป็นช่วงที่ยากที่จะผูกมัดกับใคร แล้วฉันก็อยากจะถามคุณว่า นี่คือคำตอบที่คุณอยากได้ยินหรือป่าว หรือว่าตัวอย่างเช่น ฉันมีคู่แล้ว แล้วคุณก็อยากรู้ว่าทำไมเราไม่มีลูกกัน แล้วถ้าฉันไม่สามารถมีลูกได้ล่ะ แล้วฉันรู้สึกว่าโดนตบหน้าด้วยคำถามแบบนี้ และอีกอย่างฉันก็ยังคงร้องไห้เพราะเรื่องนั้นอยู่ทุกวัน ถ้าตัวอย่างพวกนั้นเป็นความจริงแล้วคุณก็ถาม ๆ ๆ เห็นไหมคะ มันไม่ยุติธรรมเลย ฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อทุกคนที่จะระมัดระวังคำถามแนวนี้ เพราะว่าคุณไม่มีทางรู้เลย ว่าอะไรคือสาเหตุที่คน ๆ หนึ่งนอนไม่หลับได้ อะไรที่เป็นสิ่งที่ยากสำหรับใคร อีกครั้งนะคะ ต้องระมัดระวัง ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเห็นมีใครถามกันและกันในหัวข้อนี้บน social media แล้ว แต่ว่าก็ยังมีบางคนที่ถามสิ่งนี้ในบทสนทนาส่วนตัวกันอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมาก ที่จะถามใครสักคนในเรื่องนี้ แล้วถ้าฉันเป็นคนที่ค่อนข้างจะ private หล่ะ ดังนั้นอยากจะฝากว่าให้ระวังว่าจะถามอะไรกับใคร5. การเมือง คุณคิดเห็นยังไง … หัวข้อที่ใครก็ตามสามารถถกเถียงกันได้ ใช่แล้วค่ะ หลายคนอยากพูดเรื่องเกี่ยวกับการเมือง เรื่องที่สามารถให้มีการถกเถียงกันได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเดินดุ่ม ๆ ไปถามใครก็ได้ แล้วให้คนที่เห็นต่างเป็นแกะดำ โดยส่วนตัวฉันก็เคยอยู่ในสถานการณ์ที่ที่มีคนพูดเรื่องนี้ และบางครั้งบางคนก็ค่อนข้างที่จะมีมารยาทที่แย่ เวลาที่พวกเขาอยากรู้ความคิดของคุณเกี่ยวกับการเมือง อะไรพวกนี้ แค่เพราะ. ไม่รู้สิ เขาอาจจะอยากทดสอบความฉลาดของคุณ แต่เขาก็ดันถามเรื่องที่นำไปสู่การถกเถียง แล้วทำให้คุณสงสัยว่า โอเค นี่กำลังพาเราทั้งสองลงดิ่งไปสู่การจบที่ไม่สวย จึงคิดว่าการปฏิเสธผู้ถามจะดีกว่า เพื่อที่จะไม่ลงไปในหัวข้อนั้น และฉันคิดว่าคนพวกนี้เป็นคนที่ไม่สุภาพเอาซะเลย ที่จะเอาใครสักคนเข้าไปในสถานการณ์นั้น ปกติฉันก็แค่ปฏิเสธเขาไป บางคนมีความคิดที่ไม่ตรงกับเรา มันอาจจะแย่ลงในความสัมพันธ์ส่วนตัวก็ได้ ดังนั้น ควรที่จะหลีกเลี่ยง ในที่นี้หมายถึงในกลุ่มคนเล็ก ๆ เช่นการพูดคุยส่วนตัวกับคนที่ไม่ค่อยสนิท 6. มันแพงไหม/ มันราคาเท่าไหร่ นี่คือสิ่งที่ฉันเห็นว่ามันค่อนข้างที่จะพูดถึงภายในกลุ่มเพื่อนสนิท แต่ถ้าไม่สนิทก็อย่าเลยดีกว่า ถ้าคุณเป็นแค่คนรู้จักกับใครสักคน ก็ไม่ควรถามว่าสิ่งที่เขามีอยู่นั้นราคาเท่าไหร่ ปกติเราก็ไม่พูดถึงเงินอยู่แล้ว เช่น ปกติเราไม่พูดถึงว่าใครได้เงินเดือนเท่าไหร่ แฟนได้เงินเดือนเท่าไหร่ พ่อแม่มีเงินเท่าไหร่ เราไม่พูดเรื่องอะไรแบบนี้กัน อย่างน้อยก็ในประเทศส่วนใหญ่ ฉันไม่คิดว่าคนประเทศส่วนใหญ่ชอบการพูดในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้าม ดังนั้นเราควรที่จะหนีออกจากบทสนทนานั้น เห็นว่าบางคนก็มีความคิดที่อยากจะรู้ว่าสิ่งนั้นมันมีราคาเท่าไหร่ แต่การถามคนนั้นไปตรง ๆ มันจะทำให้คนที่ตอบมีความรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย ที่ทำไมถึงมาถามสิ่งนี้กับเรา เราจะซื้อของในราคาเท่าไหร่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ฉันว่าก็มีข้อยกเว้นอยู่ก็ได้นะคือเพื่อนที่สนิทจริง ๆ เท่านั้นที่สามารถถามได้ แต่ถ้ากับคนที่เจอกันแบบไม่ค่อยสนิท เช่น เพื่อนที่ทำงานด้วย เพื่อนที่เจอกันในงานปาร์ตี้ ญาติ ๆ ที่ไม่สนิท เป็นต้น ก็ไม่ควรที่จะไปถามนะคะ ในกรณีที่อยากรู้จริง ๆ ขอแนะนำว่า ให้ไป google เอาจะดีกว่าค่ะ ซึ่งเป็นสิ่งที่โอเคกว่าค่ะ อยากรู้อะไรก็หาเอา ให้มันเป็นความลับดีกว่า7. มันจริงไหม อันนี้ตลกมากเลย ไม่ว่าจะเป็นเพชร เครื่องประดับ กระเป๋าแบรนด์เนม สีผม สีตา หน้าอก อะไรต่าง ๆ แบบว่าคนก็สรรหาที่จะถามนะคะ ที่ให้ได้รู้ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้จริงไหม ส่วนตัวไม่รู้สิ แล้วคุณล่ะเห็นว่ายังไง ค่อนข้างจะเกินเลยว่าไหม อย่างแรกเลยถ้ามันปลอมหล่ะ ตัวคุณเองจะยอมรับไหมหล่ะ ฉันกำลังบอกว่า ใครหล่ะจะพูดอย่างภาคภูมิใจว่า ใช่ เพชรเม็ดนี้ปลอมมากเลยแหล่ะ ถ้าเป็นเรื่องสีผม แต่ว่าผมก็อาจจะต่างจากเพชรอยู่ ฉันกำลังจะบอกว่าฉันก็สามารถยอมรับว่าทำไฮไลต์อยู่ ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ว่าฉันก็เข้าใจคนที่ซึ่งบางครั้ง เขาไม่สะดวกใจที่จะทำสิ่งนั้นให้สาธารณะรู้ บางทีเขาก็ค่อนข้างที่จะเป็นส่วนตัวมาก ๆ และเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขามาก ๆ และโดยเฉพาะเรื่องการทำศัลยกรรม ฉันคิดว่าหลายคนก็ค่อนข้างที่จะไม่สะดวกใจที่จะพูดในเรื่องนี้ คุณแค่ต้องยอมรับด้วย แต่คุณก็ต้องเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นคนที่โผงผางพูดเรื่องของตัวเอง พวกเขามักจะเก็บเรื่องของตัวเองไว้กับตัวเอง ดังนั้นก็อย่าถามเลยนะคะ ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของจริงหรือไม่ มันจะทำให้ผู้ถาม ดูอยากรู้อยากเห็นไปซะหมด 555 แบบว่า คิดสิคะว่าเราไปถามใครสักคนว่าของจริงหรือป่าว ไม่! คุณพูดไม่ได้นะคะ 8. ดัดฟันทำไม สำหรับคนที่ดัดฟันแล้วมีคนถามว่าดัดฟันทำไม ฟันก็สวยอยู่แล้วนี่นา คุณไม่รู้ว่าฉันค่อนข้างที่จะมีปัญหาอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่แอบแฝง หรือปัญหาจริง ๆ ของฟัน คุณก็ไม่ควรไปถามอะไรพวกนี้ เพราะคุณไม่ใช่หมอฟันที่ฉันจะต้องคอยตอบการซักประวัติกับคุณ9. จะกินหมดเลยหรอ/กินน้อยจัง/กินเยอะจัง สำหรับคนที่ชอบหรือไม่ชอบกิน คงจะเคยโดยคำถามแบบนี้ ฉันก็เคยถูกถามในเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะฉันเป็นคนที่กินเก่ง แต่ว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่ทำให้รู้สึกแย่จริง ๆ นะคะ ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องการกิน บางทีคุณก็กำลังคุมอาหารอยู่ แล้ววันนี้เป็นวันที่กินตามใจชอบ แล้วบางครั้งก็รู้สึกแย่ที่บางคนพูดในเรื่องนี้ ว่าคุณกินเยอะจัง มีอย่างหนึ่งที่แน่นอน แบบว่าคนที่ไปกินข้าวในที่ที่แบบงานปาร์ตี้ คงไม่กินเยอะกว่าการพูดคุยกับคนสักเท่าไหร่หรอก เพราะการไปงานปาร์ตี้ คือ ที่ ๆ เราไปเจอผู้คนใช่ไหมคะ อย่างไรก็เถอะ คุณเป็นคนที่ตัดสินใจว่าจะกินมากเท่าไหร่ และไม่ว่าใครควรจะถามคุณว่าทำไมคุณถึงกินเยอะจัง ซึ่งเป็นสิ่งที่หยาบคายมาก ฉันไม่คิดว่าใครก็ตามจะรู้สึกดีกับคำพูดแบบนั้น นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรถามนอกจากเรื่องรูปร่าง เพราะแต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน ในเรื่องการกินก็ด้วย ใครจะกินมากกินน้อยก็ควรที่จะให้เป็นเรื่องของเขา เป็นสิ่งที่หยาบคายมากด้วย ถ้าเป็นผู้หญิงที่ถูกถาม10. เรียนมหาลัยที่ไหน/เรียนคณะอะไร เรื่องอ่อนไหว...อีกแล้ว มีหลายคนที่ไม่มีโอกาสได้ไปมหาลัยหรือวิทยาลัย อาจจะเพราะเรื่องการเงิน หรือเรื่องอื่น และการถามว่าเรียนที่มหาลัยไหนเหรอ เคยเรียนเอกอะไร จบปริญญาอะไร อะไรพวกนี้ ซึ่งสามารถเป็นคำถามที่ไม่ควรถาม ถ้าคุณไปถามคนที่จบจากคณะบริหารธุรกิจและเรียนมามากมาย แล้วเขาก็ภูมิใจในตัวเองมาก ก็ดีเลยที่จะถามคนพวกนี้ และบทสนทนาก็จะไปได้ด้วยดีด้วยซ้ำ แต่คุณก็ต้องเข้าใจความจริงที่ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่เลือกไปทางนั้น คำถามนี้เป็นคำถามที่ฉันเองก็เคยถูกถามแต่ทำไมต้องตอบด้วยล่ะ เราจะเรียนอะไรมันก็เรื่องของเราไหมคะ ซึ่งบางคนก็ไม่ได้ภูมิใจในที่ที่ตนเรียน หรือเอกที่ตนเรียนมากซักเท่าไหร่ แต่พอโตขึ้นฉันรู้สึกว่าฉันสามารถตอบคำถามพวกนั้นได้แล้ว และอีกอย่างฉันคิดว่ามันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ด้วย เพราะเมื่อก่อนฉันก็ไม่ภูมิใจในคณะที่ตัวเองเรียนสักเท่าไหร่ แต่พอเราโตขึ้นเราก็เข้าใจว่าทุกคณะ ก็มีส่วนที่ดีที่ไม่เหมือนคนอื่น ฉันจึงค่อนข้างที่จะภูมิใจในตัวเองแล้ว11. ศาสนา ทำไมหรอ คือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหวสำหรับคนบางคน โดยเฉพาะศาสนาที่เป็นเรื่องที่ส่วนตัว ก็เพราะว่าบางคนรู้สึกถูกตัดสินแค่เพราะว่าเขาไม่มีศาสนา บางคนก็เชื่อมากจนบางครั้งเขาก็รู้สึกตัดสินเช่นกัน เพราะเราไม่รู้เลยว่าในสายตาของคนอื่น ศาสนาเป็นเรื่องที่งมงาย บางคนก็รักศาสนาของตน แต่ว่าคนที่ไม่มีศาสนาก็จะถูกมองว่าพวกไม่มีหัวใจ แบบว่า คุณเชื่อเรื่องอะไรล่ะ คือจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่อ่อนไหวนะคะ แต่ก็มีหลายคนที่ภูมิใจที่จะพูดว่าเขาเชื่อนี่ เชื่อนั่น แต่ตัวคุณเองก็ไม่ควรถาม แต่ให้เขาพูดออกมาเองจะดีกว่า สำคัญมากเลยนะคะ ดังนั้น ให้เขาพูดเองดีกว่าค่ะ ให้เขาเลือกว่าเขาอยากจะให้คุณรู้อะไร บางทีเขาอาจจะไม่อยากให้คุณรู้ ดังนั้น ควรอย่างยิ่งที่จะรู้ไว้นะคะ เคารพผู้อื่น จำไว้ว่าทุกอย่างมีขอบเขต ส่วนตัวเราไม่มีปัญหาเรื่องนี้นะ แต่จากการรวบรวมข้อมูลก็มีคนบางคนที่เขาไม่อยากตอบว่า ตัวเองมีศาสนาอะไร อาจจะเป็นเพราะว่ากำลังคิด หรือคิดไว้แล้วแต่ไม่อยากบอกใคร ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร ก็ไม่ควรไปถามแบบจู่โจมใส่เขา คือถ้าเขาอยากจะบอกเขาจะบอกเองแหล่ะค่ะ เห็นไหมคะว่า ทุกอย่างล้วนมีขอบเขต ดังนั้น ไม่ว่าจะถามอะไรใคร เราควรที่จะนึกถึงความเป็นไปได้ว่าสิ่งนั้นมันจะทำร้ายจิตใจใครหรือป่าว และเคล็ดลับ ก็คือ ให้เกียรติซึ่งกันและกันค่ะ เมื่อเราอยู่บนโลกที่มีความแตกต่างเช่นนี้ เครดิตภาพ :ภาพปก / 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / 8 / 9 / 10 / 11 / 12