พูดถึงเรื่องของการวิ่งนั้นคงจะเกิดความคิดภาพ ว่าคงวิ่งไม่ไหว เหนื่อยวิ่งไม่ออกแน่เลย ก็คงได้แต่บอกกับตัวเองว่า ไม่ล่ะวันนี้ไม่ไหว พรุ่งนี้ค่อยเริ่มวิ่งแล้วกัน หลายคนคงเป็นแบบนี้กว่าจะเริ่มต้นอะไรได้สักอย่าง ต้องใช้เวลาทำใจกันนานเลยทีเดียวบางคนไม่รู้จะเริ่มต้นจากจุดไหน วางเป้าหมายอะไร ? บางคนป่วยแต่มีแรงผลักดันไปไม่ถึง ทำให้ท้อจากการวิ่งไม่มีกำลังใจ บางครั้งยังต้องกลับมาถามตัวเองว่า วิ่งไปทำไมว่ะ มาวิ่งเพื่อให้ตัวเองเหนื่อยทำไม คำถามนี้คงเกิดขึ้นกับใครหลายคนใช่ไหมค่ะ การที่เราจะไปถึงเป้าหมายที่วางไว้นั้น ไม่ใช่เรื่องยากและง่าย เราต้องถามตัวเองก่อนว่า เป้าหมายของเราคืออะไรและจดจำเป้าหมายไว้ให้แม่นค่ะ ว่าเราต้องทำเพราะอะไร ทำแล้วได้อะไร ตั้งเป้าหมายไปทีละนิด เอาให้เราทำได้ และเพิ่มเป้าหมายขึ้นไปอีกทีละหน่อย แล้วเราจะรู้สึกสนุกกับมันยิ่งขึ้น เป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ เช่นบางคนอยากออกมาวิ่งเพราะอ้วนขึ้น บางคนเพราะมีเป้าหมายอยากจะใส่ชุดสวยๆได้ บางคนป่วยเป็นโรคต่างๆ สิ่งเหล่านี้มันทำให้เรามีจุดมุ่งหมายที่จะดูแลตัวเอง ทำอย่างไรที่จะทำให้เราอยากจะได้ อยากจะมีสุขภาพที่ดีขึ้น และเมื่อเรามีหนทางมีความหวัง มันก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้เราต้องทำให้ได้ ผู้เขียนเองก็มีเพื่อน ๆ และประสบการณ์จากตัวผู้เขียนเอง ที่อาจจะเป็นแรงกระตุ้นและกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังหมดแรงที่จะทำต่อไปหรือกำลังเริ่มที่จะทำ ว่าทำไมต้องวิ่ง เป้าหมายคืออะไรมาฝากกันค่ะ ✌👇 คนแรกเลย เป็นพี่นักวิ่งที่ผู้เขียนบังเอิญได้รู้จักจากการไปวิ่งค่ะ พี่เขามีปัญหาสุขภาพในเรื่องของโรคเก๊าท์น้ำหนักตัวเยอะ แรก ๆเลย ก็หันมาออกกำลังกายโดยปั่นจักรยานปั่นไป ปั่นมา อยากลองเปลี่ยนมาวิ่งบ้าง จากคนไม่เคยวิ่งก็ฝึกซ้อมวิ่งทีละนิดละหน่อย จนทุกวันนี้สามารถลงแข่งขันวิ่งในระยะฮาล์ฟมาราธอน 21 กม. ได้แล้วค่ะ สุขภาพก็ดีขึ้นแถมพี่เขายังเล่าต่ออีกว่า กลายเป็นคนเลิกดื่มเหล้าดื่มเบียร์ไปโดยปริยายค่ะ ผลกำไรที่ได้จากการวิ่งของพี่คนนี้ ก็คือโรคเก๊าท์ไม่กลับมารบกวนบ่อย ได้มีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น เพราะไม่ออกไปดื่มเหมือนเมื่อก่อน แต่สิ่งที่ภูมิใจที่สุดคือการที่เราได้เป็นตัวอย่างให้คนในครอบครัวหันมาออกกำลังกายดูแลสุขภาพอีกด้วยค่ะ คนที่สอง คนนี้เป็นน้องสาวที่นับถือกันค่ะ ซึ่งน้องคนนี้เธอมีน้ำหนักมากถึง 97 กิโลกรัม เลยทีเดียว ตัวอ้วนกลมตุ้ยนุ้ยน่ารักค่ะ แต่แล้ววันนึงเธอกลับไปเจอเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ ชุดเก่าที่เธอซื้อมาเมื่อหลายปีก่อน เธอรู้สึกเสียดาย เพราะไม่สามารถสวมใส่มันได้อีกแล้ว เธอเห็นชุดสวยๆในร้านเสื้อผ้า แล้วเธอเศร้า เพราะเธอชอบแต่งตัว สวมใส่ชุดน่ารัก ๆเสมอ นี่คือเป็นต้นเหตุให้เธอต้องกลับมาใส่ใจดูแลตัวเอง และ มีวินัยกับตัวเองมากขึ้นทั้งเรื่องการกิน การออกกำลังกาย สุดท้ายผลที่เธอได้รับในเวลา 5-6 เดือนก็สามารถลดน้ำหนักของเธอลงได้ และยังมีสุขภาพดีด้วย โดยการมีวินัยควบคุมอาหารค่ะ ตอนนี้เธอมีน้ำหนักอยู่ที่ 80 กิโลกรัม ลงไป 17 กิโลกรัม และเธอก็สามารถสวมใส่ชุดที่เธออยากจะใส่ได้แล้ว แต่เป้าหมายของเธอยังไม่จบเพียงแค่นี้ เธอตั้งใจจะลดโดยตั้งเป้าหมายให้หยุดเหลือที่ 70 กิโลกรัม นี่คือเป้าหมายขั้นต่อไป ของเธอค่ะ สุดท้ายประสบการณ์จากตัวผู้เขียนเองค่ะ ที่เริ่มหันมาออกกำลังกาย คือปวดหัวเข่าเดินไม่ไหว เข่าบวม ต้องออกจากงานประจำเพื่อมารักษาตัว โดยรักษาจากการนวดเส้น 1 ปี อาการดีขึ้นค่ะ หลังจากนั้นก็เริ่มกลับเข้าไปทำงานต่อแต่ก็ต้องนวดเส้นตลอด ประมาณ 2 ปี แต่อยู่ๆหมอนวดเส้นไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย แล้วเราจะตามหาหมอนวดเส้นจริง ๆก็ยากค่ะ วันหนึ่งได้ไปเที่ยวกับแฟนที่ภูเก็ต แฟนพาเดินขึ้นบันไดไปไหว้พระใหญ่บนเขา แฟนเรานี่เดินขึ้นได้สบายค่ะ แต่เรานี่สิหอบเลย หลังจากนั้นแฟน ถึงกับต้องบังคับให้เราไปเข้าฟิตเนส แถมจ่ายเงินให้อีกซะด้วย แต่ก็เล่นได้ 2 เดือน ก็ไม่ได้ไปตลอดค่ะพอดีมีเพื่อนที่ออกไปวิ่ง ก็ได้ชวน ลองไปวิ่งด้วยกันไหม ก็ลังเลค่ะ แต่ก็ตอบว่าไป ตอนแรกเองก็วิ่งไม่ได้ค่ะ ก็เดินๆเอาไม่รู้กี่กิโลเมตรแค่ดูเวลา เดินเอาวันละ 1 ชั่วโมงพอค่ะ ไปทุกวันนานวันเข้าก็เริ่มวิ่งได้นานขึ้น จาก 2 กิโลเมตร มา 5 กิโลเมตร มา 7 กิโลเมตรและ 10 กิโลเมตรค่ะ ได้ออกไปงานวิ่งข้างนอกบ้าง เพื่อความสนุกและเปลี่ยนบรรยากาศจากที่เริ่มออกกำลังกายมาจนถึงปัจจุบันก็ 1 ปีครึ่งค่ะ ตอนนี้ดีใจที่ขา และหัวเข่าไม่กลับมาปวดอีกเหมือนเดิมค่ะ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าวันไหนไม่ได้วิ่งเกิน 3 วัน ร่างกายจะกลับมาคั่นเนื้อคั่นตัวอยากจะสวมรองเท้าแล้วออกไปวิ่งเลยค่ะ ไม่ว่าทุกคนจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม แต่การที่เรามีสุขภาพที่แข็งแรงไม่ป่วยง่าย นี้คือเป็นความโชคดีที่สุดในโลก เมื่อเรามีร่างกายที่แข็งแรงแล้วเราก็สามารถแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นได้อีกด้วย เช่น การบริจาคเลือดเป็นต้นค่ะ ซึ่งผู้เขียนเองและพี่ๆน้องๆที่ยกตัวอย่างมานี้ ก็ล้วนแต่บริจาคเลือดเป็นประจำค่ะ ☺ เคล็ดลับ (แต่ไม่ลับ ) .. ทำอย่างไร ถึงจะวิ่งได้ ?☺ หากใครมีปัญหาน้ำหนักตัวเยอะ หรือไม่เคยวิ่งมาก่อน ง่าย ๆ เลย เราต้องออกมาเดินกันก่อนนะคะ ผู้เขียนเองก็ทำเช่นเดียวกันค่ะ เดิน ๆ วันล่ะ 30 - 60 นาที ประมาณ 1 เดือน แล้วเราจะรู้สึกได้ว่า เราเดินได้คล่องขึ้นและเร็วขึ้น จากนั้นให้หัดลองวิ่งช้า ๆ ดูค่ะ ว่าเราสามารถวิ่งได้หรือไม่ แรกเอาเท่าที่วิ่งไหวนะคะ เหนื่อยก็หยุดเดินเอาค่ะ หายเหนื่อยก็พยายามวิ่งช้า ๆ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะวิ่งได้นานขึ้นคะ หาสิ่งที่เราชอบมากที่สุดในการออกกำลังกายค่ะ เช่น รองเท้าผ้าใบ , ชุดกีฬาสวยๆ อะไรแบบนี้ค่ะ เราไปซื้อมาสักอย่างและสวมใส่ไปออกกำลังกาย คลาย ๆ เหมือนเราได้โชว์ของที่เราชอบและยังได้ออกกำลังกายอีกด้วย ไปออกกำลังบ่อย ๆ เราก็จะสนุกกับมันค่ะ เรื่องอาหารก็สำคัญนะคะ กินไม่หยุดแต่ออกกำลังกายตลอดก็ไม่ได้ทำให้ผอมนะคะ .. ต้องมีการควบคุมปริมาณการกินด้วยจร้า แบบนี้ หนักเช้า เบาเที่ยง นิดหน่อยเย็น .. น้ำตาลน้ำอัดลมให้อยู่นอกสายตาไปเลยค่ะ , ของทอดต่าง ๆ say good bye ไปเลย .. รับรองสุขภาพกลับมาดีแน่นอนค่ะ ค่อยๆทำไปเรื่อย ๆ อย่าเล่นหนักจนร่างกายไม่ไหวเราจะเหนื่อยและทำให้หมดกำลังใจได้นะคะ เล่นเบาให้เราสนุกและได้เล่นอย่างต่อเนื่องเราก็จะมีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ .. สุดท้ายนี้ ไม่ว่าทุกคนจะตั้งเป้าหมาย ไว้อย่างไร พวกเราขอเป็นกำลังใจ ให้ทุกคนสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ และไปให้ถึงเป้าหมายได้ในที่สุดนะคะ ✌✌ ขอขอบคุณประสบการณ์และแรงบันดาลใจ จากพี่ปราโมทย์ https://www.facebook.com/profile.php?id=100040373379482 ขอขอบคุณประสบการณ์และแรงบันดาลใจ จากน้องนัท https://www.facebook.com/monphat.hanchana รูปภาพโดยผู้เขียน ภาพหน้าปก ภาพที่ 1 และ ภาพที่ 4 รูปภาพโดย พี่ปราโมทย์ ภาพที่ 2 และ 5 รูปภาพโดย น้องนัท ภาพที่ 3 By Thandaorn 29/04/20